(333 ครั้ง)
ในการประชุมทางวิชาการที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ประจำปี 2555 เรื่อง "บทบาทของสภาวิชาชีพที่มีต่อการรับรองหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนของสถาบันอุดมศึกษา" และเนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 12-13 พ.ย. 2555 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
ในการประชุมทางวิชาการที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ประจำปี 2555 เรื่อง "บทบาทของสภาวิชาชีพที่มีต่อการรับรองหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนของสถาบันอุดมศึกษา" และเนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 12-13 พ.ย. 2555 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
สำหรับวันแรก
วันที่ 12 พ.ย. มีปาฐกถานำโดย ท่านอาจารย์มีชัย
ฤชุพันธุ์ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "การจัดความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับสภาวิชาชีพ" มีรายละเอียดที่มีประโยชน์และมีคุณค่าอย่างยิ่ง จึงขออนุญาตท่านอาจารย์นำสาระที่ท่านได้ปาฐกถาในวันนั้นมาบันทึกไว้เพื่อประโยชน์ทางบริหารจัดการศึกษา และขอเชิญชวนชาวเราได้ศึกษาให้ดีตามที่ท่านอาจารย์ได้ปาฐกถาให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยและคณาจารย์จากทั่วประเทศร่วม 800 คนฟังในวันนั้น ดังนี้
ความคิดของมนุษย์อาจแตกต่างกันได้
ไม่ได้แปลว่า คนที่เห็นแตกต่างไปจากเราแล้วจะผิด เราอาจจะผิดก็ได้
แต่ทั้งหมดต้องขึ้นกับเหตุผลบนหลักการที่ถูกต้อง
รัฐมีทั้งอำนาจและหน้าที่ในการจัดการศึกษา
เพื่อพัฒนาการศึกษาของคนในชาติให้เจริญรุ่งเรือง ทัดเทียนนานาอารยประเทศ โดยฐานะของรัฐจึงต้องยอมรับว่าเป็นผู้ให้การศึกษาที่ได้มาตรฐาน
และรัฐก็มีกลไกในการที่จะควบคุมมาตรฐานการศึกษานั้น ถ้าเราไม่ยอมรับนับถือมาตรฐานการศึกษาที่รัฐกำหนดขึ้น
เราจะยอมรับนับถือมาตรฐานจากอะไร ดังนั้น ในเบื้องต้นต้องยอมรับรู้ข้อเท็จจริงอันนี้เสียก่อน
ดูแผนการศึกษาของชาติ
อำนาจในการจัดการศึกษา การกำหนดมาตรฐานการศึกษา โดยเฉพาะการอุดมศึกษาอยู่ที่ไหน
คำตอบคือ อยู่ที่คณะกรรมการการอุดมศึกษา
ซึ่งมีหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานการอุดมศึกษา ติดตาม ตรวจสอบ
ประเมินผลการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
นอกจากมาตรฐานทั่วไปแล้วยังมีการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของหลักสูตรต่างๆ
ในขณะเดียวกัน
สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ที่เป็นหลักเป็นฐานก็เป็นสถาบันการศึกษาของรัฐ
มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น ให้อำนาจในการให้การศึกษา ในการวิจัย
การกำหนดวิธีการเรียนการสอน ถึงจะมีสถาบันอุดมศึกษาภาคเอกชน
ก็มีกฎหมายกำหนดเป็นการเฉพาะ
อยู่ในการควบคุมดูแลของสำนักงานการอุดมศึกษาอย่างเข้มงวดกวดขัน
กฎหมายที่จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาเหล่านั้น
แต่ละมหาวิทยาลัยมีเป็นการเฉพาะยกเว้นราชภัฏกับราชมงคลที่ออกมาเป็นกฎหมายรวม
เพราะมีกลไกรูปแบบเดียวกัน
กฎหมายทุกฉบับกำหนดวัตถุประสงค์สำคัญของสถาบันอุดมศึกษา
ในการให้การศึกษา ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง ทำการสอน วิจัย ในขณะเดียวกันก็ให้อำนาจองค์กรสภามหาวิทยาลัยในการที่จะอนุมัติให้ปริญญา
ประกาศนียบัตรชั้นสูง ประกาศนียบัตรบัณฑิต อนุปริญญา
และประกาศนียบัตรอื่นๆในระดับสูง มีอำนาจในการจัดตั้งคณะ ให้ความเห็นชอบในหลักสูตรการศึกษาต่างๆ
แต่อำนาจในการเห็นชอบทั้งสองนั้นก็ยังอยู่ภายใต้มาตรฐานการศึกษาที่คณะกรรมการการอุดมศึกษากำหนดขึ้น
ก็เป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยกับคณะกรรมการการอุดมศึกษาพูดคุยกันว่าจะแค่ไหนอย่างไร
แต่ว่าการกำหนดนั้น
เป็นการกำหนดามอำนาจกฎหมายที่มีอยู่ เพราะฉะนั้น น่าจะเชื่อได้ว่า
เป็นการกำหนดที่ใช้ได้ ที่มีมาตรฐานพอสมควร และเมื่อคำนึงถึงว่า
มหาวิทยาลัยทุกแห่งจะต้องแข่งขันกันเพื่อที่จะก้าวให้ทันโลก ก้าวให้ทันวิวัฒนาการของการพัฒนาทางการศึกษา
ทางเทคโนโลยี ทางวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแต่ละมหาวิทยาลัยก็ยิ่งต้องแข่งขันกัน เพื่อที่จะพัฒนาหลักสูตร
ปริญญา ทั้งต้องสอดคล้องกับวิวัฒนาการของโลก สอดคล้องกับความต้องการของสังคม
ปริญญาที่มหาวิทยาลัยของไทยเราให้ จะมีกฎหมายควบคุมด้วยว่า
ใครไม่ได้ปริญญานั้นแล้วไปแอบอ้างจะมีโทษจำคุก
ใครไม่มีสิทธิ์ใช้เครื่องหมายปริญญาก็ถูกลงโทษจำคุกได้เหมือนกัน
ถามว่า จู่ๆ
มีใครมารับรองปริญญาของมหาวิทยาลัยที่มีกฎหมายให้อำนาจให้ปริญญา
ถ้ามองย้อนกลับไป
มันเริ่มมาจากการรับบุคคลเข้ารับราชการ รับทั้งคนที่จบปริญญาในประเทศและต่างประเทศ
เราไม่มีทางรู้ว่า ปริญญาที่จบมาจากต่างประเทศที่ไปร่ำเรียนกันมานั้นมันมีมาตรฐานขนาดไหน
เทียบเท่ากับมาตรฐานของไทยหรือไม่ และเมื่อจบปริญญานั้นมาแล้ว จะบรรจุเข้าตำแหน่งไหน
ในระดับใดได้บ้าง จะมีหนทางก้าวหน้าได้อย่างไร
ซึ่งเป็นเรื่องกิจกรรมภายในของระบบราชการ กฎหมายเลยกำหนดให้ กพ.
เป็นผู้มีอำนาจรับรองปริญญาของบุคคล ว่าคนนั้นจบปริญญาที่ใช้ได้ไหม จะบรรจุเข้าตำแหน่งอะไร
สาขาไหน และควรจะได้เงินเดือนเท่าไร
ซึ่งในทางปฏิบัติที่ผ่านมา
กพ. ก็จะรับรองปริญญาของมหาวิทยาลัยของไทยที่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ กพ.
จะไม่ลงไปดูว่ามหาวิทยาลัยสอนวิชาอะไร มีอาจารย์กี่คน
เพราะนั่นเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่จะกำหนดมาตรฐาน กพ.
จะดูหนักที่ปริญญาต่างประเทศ เพราะไม่แน่ใจว่าเค้าเรียนอะไรกันมาบ้าง
มาถึงปัจจุบัน
อำนาจหน้าที่นี้ก็ปลดเปลื้องออกจาก กพ. ให้ กพ. กำหนดหลักเกณฑ์ในการรับรองปริญญา
ส่วนการรับรองปริญญาจริงๆให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน กพ.
ซึ่งก็ยังอยู่ในแวดวงของการที่จะรับคนเข้ารับราชการ
ต่อมาเราเริ่มมีกฎหมายวิชาชีพ
อันแรกเห็นจะได้แก่ เนติบัณฑิตสภา ซึ่งตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ต่อมาก็ออกเป็นพระราชบัญญัติเนติบัณฑิตสภา
พ.ศ. 2507 แต่กฎหมายของเนติบัณฑิตสภาก็มิได้ให้อำนาจในการรับรองปริญญาใดๆ
คงมีอำนาจแต่การกำหนดคุณสมบัติของคนที่จะเข้าเป็นสมาชิก
ว่าจะต้องได้รับปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต
แต่ด้วยวิวัฒนาการของแนวคิดใหม่ๆของสภาวิชาชีพ
เนติบัณฑิตสภาก็เริ่มไปดูมหาวิทยาลัยต่างๆที่สอนนิติศาสตร์
แต่ก็ไปดูเพื่อจะแนะนำว่า ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้มากกว่าเป็นคนที่จะไปรับรองหลักสูตร
ผมไม่คิดว่าเนติบัณฑิตสภาอยากจะไปรับรองหลักสูตรใคร เพราะการรับรองหลักสูตรนั้น ฟังดูมันเหมือนเป็นอำนาจ
แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นภาระรับผิดชอบของหน่วยงานที่ไปรับรองหลักสูตร
ว่าถ้าเด็กที่จบออกมาแล้วไม่มีหน่วยงานรับรองหลักสูตรจะต้องรับผิดชอบ ดังนั้น เนติบัณฑิตสภาจึงไม่รับรองหลักสูตรใคร
การควบคุมวิชาชีพถัดมาคือ
การควบคุมวิชาชีพทางการแพทย์เริ่มต้นเรียกว่า การควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479
ต่อมา พ.ศ. 2511 ก็แยกตัวออกมาเป็นพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม
ซึ่งกฎหมายนั้นก็ตั้งแพทยสภาขึ้น แพทยสภาตาม พรบ.พ.ศ. 2511 ก็ไม่มีอำนาจรับรองปริญญา
คงมีอำนาจอนุมัติหรือออกวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญ
เข้าใจว่าจะเป็นเรื่องของการทำบอร์ดอะไรทำนองนั้น
มากกว่าการเรียนการสอนในระดับปริญญา
แต่อำนาจสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งน่าสนใจในกฎหมายปี
2511
คืออำนาจในการดำเนินการให้ผู้ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรในวิชาชีพแพทยศาสตร์ได้รับการฝึกหัดเพื่อเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและดำเนินการให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้รับการฝึกอบรม
นี่ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งอย่างยิ่งยวด
เพราะการจัดตั้งสภาวิชาชีพทุกแห่ง จะขึ้นต้นด้วยการส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา
การวิจัย วิชาความรู้ทางวิชาชีพนั้นๆ การส่งเสริมสนับสนุนคือการดำเนินการให้เค้าได้รับการฝึกอบรมให้เป็นปัจจุบันสมัย
ให้ได้รับความรู้เพิ่มขึ้นหลังจากจบปริญญามาแล้ว
ต่อมาเมื่อ
มีการปรับปรุงกฎหมายเปลี่ยน 2511 เป็น 2515 กฎหมายวิชาชีพเวชกรรมก็เริ่มใส่อำนาจการรับรองปริญญาประกาศนียบัตรในวิชาชีพแพทยศาสตร์
หรือวุฒิบัตรในวิชาชีพเวชกรรมของสถาบันต่างๆ ผมจะเข้าใจผิดหรือเปล่าไม่ทราบ
การรับรองปริญญาในครั้งนั้นเป็นการรับรองเพื่อให้ใบอนุญาตในการประกอบวิชาชีพ
ดูเหมือนคนที่จบแพทย์แล้วที่แพทยสภาให้การรับรองไม่ต้องมาสอบ
รับรองแล้วก็ไม่ต้องสอบ แปลว่าหลักสูตรนั้นใช้ได้ ปริญญานั้นใช้ได้ และทำการประกอบอาชีพเวชกรรมได้
ได้รับใบอนุญาตโดยอัตโนมัติ แต่มาในปัจจุบันเข้าใจว่าเริ่มมีการสอบเหมือนกัน
หลังจากนั้น
ตั้งปีพ.ศ. 2528 เป็นต้นมา
เราเริ่มมีกฎหมายวิชาชีพมากขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบันอาจจะมี 13-14 แห่ง
อันสุดท้ายซึ่งยังนึกไม่ออกว่าเป็นวิชาชีพได้อย่างไรคือ วิชาชีพสังคมสงเคราะห์
แต่ก็เป็น
นั่นก็เป็นวิวัฒนาการการรวมตัวกันของผู้มีส่วนได้เสียในทิศทางเดียวกันในการที่จะออกกฎหมาย
ผมพูดเสมอว่า
กฎหมายนั้นเป็นดาบสองคม กฎหมายนั้นเป็นข้อกำหนด คำบังคับ
เมื่อเป็นคำบังคับก็ต้องสร้างคนที่มีอำนาจ เมื่อสร้างคนที่มีอำนาจก็ต้องมีคนที่อยู่ใต้อำนาจ
เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่มีอำนาจหรือมีสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น
คนทั้งปวงก็ต้องอยู่ใต้อำนาจมีหน้าที่ที่ต้องเคารพสิทธินั้นๆ
ในโลกปัจจุบันสิ่งที่เค้ากำลังกลัวกันที่สุด
คือ การมีกฎหมายมากเกินไป และที่ฝ่ายกฎหมายกำลังระมัดระวังกันก็คือ
ทำอย่างไรจึงจะลดกฎหมายให้เหลือน้อยลง แต่ว่าเรากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของการมีส่วนร่วมของประชาชน
เพราะฉะนั้นประชาชนในแต่ละ sector ก็จะคิดว่าทำอย่างไรจึงจะมีกฎหมายเพื่อคุ้มครองหรือสร้างอำนาจให้กับ
sector ของตัวได้
ท่านที่สนใจการหาเสียงของประธานาธิบดีอเมริกาเมื่อสองสามวันมานี่
ประเด็นที่เค้าถกเถียงกันคือทำอย่างไรจึงจะลดกฎหมายให้น้อยลง
คือทั้งโลกกำลังคิดอย่างเดียวกัน ไทยก็กำลังคิดแบบนี้ แต่ไทยค่อนข้างจะสาหัส
เพราะว่ากฎหมายเราสร้างอำนาจไว้เสมอ คนมีอำนาจแล้วก็ย่อมติดใจ ติดยึด
คิดว่าอำนาจนั้นเป็นของตัว ความจริงอำนาจไม่ได้เป็นของใคร ใครมาคนนั้นก็ใช้อำนาจ และวันหนึ่งคนนั้นก็เกษียณไปอำนาจนั้นก็กลับไปใช้กับคนนั้น
เราพยายามยกเลิกกฎหมายที่ไม่ได้ใช้
หรือใช้ผิดวัตถุประสงค์ กฎหมายกำจัดผักตบชวาท่านเคยได้ยินไหม ในปี 2450 กว่าๆ หลังจากที่ผักตบชวาระบาดทั่วประเทศ
กฎหมายนั้นกำหนดว่า เป็นหน้าที่ของพลเมืองที่อยู่ชายตลิ่ง จะต้องหาไม้ไผ่มาเขี่ยผักตบชวาขึ้นมาตากแห้งเป็นเวลา
3 วัน แล้วเอาน้ำมันก๊าดลาดจุดไฟเผา
ผู้ใดไม่ทำการตามนี้มีโทษปรับ 10 บาท เราใช้มาถึงปี 2540
กว่าๆ ตอนนั้นจะยกเลิก กระทรวงมหาดไทยคัดค้าน
ถามว่าจะคัดค้านทำไม เค้าบอกว่ามันมีอยู่ก็ดีแล้ว เกิดจำเป็นขึ้นมาจะได้ไปเกณฑ์คนมากำจัดผักตบชวาได้
ซึ่งนั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์
นี่กำลังมีกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง
เป็นกฎหมายอาชีพการรับเหมาก่อสร้าง ตั้งแต่ออกมาเป็นเวลา 10 กว่าปี
ยังไม่เคยใช้เลย กฎหมายนี้กำลังดำเนินการเพื่อยกเลิก ยังไม่รู้ว่าใครจะคัดค้านบ้าง
หลังจากที่เราเริ่มมีกฎหมายสภาวิชาชีพทยอยกันมา
ความเข้มข้นของอำนาจของสภาวิชาชีพก็มากขึ้นๆ
กฎหมายวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ดูจะเป็นกฎหมายที่เข้มข้นที่สุด
เพราะนิยามคำว่าการพยาบาลและการผดุงครรภ์ รวมไปถึงการสอนวิชาการพยาบาลและการผดุงครรภ์ด้วย
และอำนาจของสภาวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ก็ไปไกลดูจะเป็นหน่วยแรกที่เริ่มให้ความเห็นชอบในหลักสูตรการศึกษาวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์
ของสถาบันการศึกษาที่จะทำการสอนวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ รวมทั้งหลักสูตรในระดับประกาศนียบัตร
คำว่าที่จะทำการสอนวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ แปลว่าใครจะตั้งคณะการพยาบาลและการผดุงครรภ์
จะยังตั้งไม่ได้จนกว่าจะได้รับความเห็นชอบในหลักสูตรจากสภาการพยาบาลเสียก่อน
นอกจากรับรองหลักสูตรแล้วยังรับรองปริญญา ยังมีบทบัญญัติต่อไปว่าใครจะมาเป็นสมาชิกบ้างจะต้องได้รับปริญญาที่สภาการพยาบาลรับรอง
ผมไม่ควรยกตัวอย่างเรื่องนี้เพราะอายุมากแล้วผมต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เรื่อย
หวังว่าพยาบาลจะไม่ถือโทษโกรธเคือง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา
กฎหมายวิชาชีพทุกฉบับ ก็เริ่มใส่อำนาจในการรับรองปริญญากันถ้วนหน้า
บางฉบับอาจไม่ได้กำหนดให้อำนาจในการรับรองปริญญา
แต่ก็กำหนดว่าคนที่จะเป็นสมาชิกจะต้องจบปริญญาที่สภาวิชาชีพนั้นรับรอง
แต่เรื่องหลักสูตรนั้น
ส่วนใหญ่กำหนดให้รับรองเฉพาะหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อความชำนาญซึ่งอยู่นอกขอบข่ายของสถาบันอุดมศึกษา
ในการให้อำนาจรับรองปริญญานั้น
ระยะหลัง ตั้งแต่กฎหมายวิชาชีพบัญชีเป็นต้นมา จะเริ่มเขียนกรอบขึ้นมานิดนึงว่า
รับรองเพื่อการสมัครเข้าเป็นสมาชิก
ซึ่งก็ดูเหมือนจะอยู่ในวิสัยที่จะไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายสถาบันอุดมศึกษา แต่จะก้าวล่วงสิทธิและเสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นสมาคมที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้หรือไม่
เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องพูดกัน
ผลของการที่มีกฎหมายกำหนดไว้เข้มงวดเช่นนี้
มันก็เลยทำให้ ในบางกรณีการจัดตั้งคณะเพื่อสอนวิชาบางวิชา จัดตั้งไม่ได้
จนกว่าสภาวิชาชีพจะให้การรับรองหลักสูตรหรือเห็นชอบด้วย
การตั้งคณะแพทยศาสตร์เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญมาก ถ้าแพทยสภาไม่รับรองก็ตั้งไม่ได้
การตั้งคณะเพื่อการศึกษา
มันไม่ใช่เพื่อประโยชน์ในการประกอบอาชีพแต่เพียงอย่างเดียวแต่มันเพื่อประโยชน์ในการให้การศึกษา
การพัฒนาเทคโนโลยี การศึกษาวิจัยด้วย
ถ้าเราไปจำกัดการตั้งคณะวิชาซึ่งก็มีคนเค้าควบคุมดูแล ทั้งด้านงบประมาณ
ทั้งด้านกำลังคน ทั้งด้านวิชาความรู้ เข้มงวดอยู่แล้ว
มันจะเป็นการไปจำกัดการเจริญเติบโตและความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาวิชาการหรือไม่
ผมเข้าใจว่าในสภาวิชาชีพส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนจากสถาบันอุดมศึกษา
หรืออย่างน้อยก็เกี่ยวข้องกับสถาบันอุดมศึกษากันมาทั้งนั้น เพราะฉะนั้น
ต้องกลับไปคิดว่าการจำกัดขอบเขตหรือตีกรอบให้สถาบันอุดมศึกษาเดิน
มันจะเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง
บางที
คนเค้าก็เลยนินทาว่า (ขอโทษคุณหมอทั้งหลายครับ) ...แพทยสภาไม่ค่อยยอมให้ตั้งง่ายๆ
เพราะกลัวคนล้นตลาด (พวกหมอด้วยกันเองมาพูดให้ผมฟัง) ตอนที่จะตั้งคณะแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสารคาม
บูรพาบังเอิญผมเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยอยู่ในขณะนั้น สาหัสสากันมาก
แต่ก็ยังน้อยกวาสภาพยาบาลนะครับ
การตั้งสภาวิชาชีพเป็นของดีหรือไม่
คำตอบคือ ดี ถูกต้อง และสมควรทำ วัตถุประสงค์ของสภาวิชาชีพที่กำหนดไว้ในกฎหมายก็ดี
เพราะส่วนใหญ่จะเขียนไว้ว่า ส่งเสริมการศึกษาในสาขาวิชาชีพนั้นๆ
ควบคุมการประกอบวิชาชีพให้ได้มาตรฐาน ส่งเสริมความสามัคคีในระหว่างสมาชิก
สิ่งเหล่านี้เป็นของดี วิชาชีพก็ต้องมีมาตรฐานมีการควบคุม ปัญหาคือ
สมควรหรือจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องไปเป็นคนรับรองปริญญาหรือรับรองหลักสูตรที่สอนกันอยู่
จริงอยู่ในการควบคุมวิชาชีพให้ได้มาตรฐาน
ต้องมีจรรยาบรรณ สภาวิชาชีพก็ต้องคำนึงถึง
ความรู้ความชำนาญของผู้ที่จะเข้ามาประกอบอาชีพนั้นๆ ว่าที่ร่ำเรียนกันมานั้นเมื่อถึงเวลาจะประกอบวิชาชีพน่ะจริงไหม
มีทักษะดีเพียงพอไหม
มีจรรยาบรรณที่จะไว้วางใจให้ไปทำงานให้กับผู้คนในสังคมได้หรือไม่
แต่สิ่งเหล่านี้
สภาวิชาชีพสามารถกำหนดด้วยวิธีการทดสอบความรู้ได้ มิใช่หรือ
ผมเข้าใจว่าผมอ่านกฎหมายผิดหรือเปล่าก็ไม่รู่นะครับ ปริญญาที่ได้รับการรับรองจากสภาวิชาชีพแล้ว
ไม่ได้แปลว่าจะได้รับใบอนุญาต ยกเว้นกรณีครูในชั้นเริ่มต้น ต่อไปก็ไม่แน่
แต่ในกฎหมายพยาบาล
ทั้งรับรองหลักสูตร รับรองปริญญา แต่เวลาที่จะเข้าไปขอใบอนุญาต ก็บอกว่าต้องจบปริญญาที่สภารับรองและผ่านการสอบความรู้
แปลว่าอะไร แปลว่าที่ไปดูหลักสูตรเขามาแต่ต้น รับรองปริญญานั้น ยังวางใจไม่ได้
ยังจะเอามาสอบความรู้อีก แล้วตกลงไปรับรองเค้าทำไม
จริงๆ
สภาวิชาชีพทั้งปวง มีบุคลากรเพียงพอที่จะไปกำหนดหลักสูตร
หรือให้การรับรองหลักสูตรของมหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาทั้งหลาย ได้จริงหรือ
หรือต้องไปตั้งคนจากสถาบันอุดมศึกษามาช่วยอ่านหลักสูตร มาช่วยดูปริญญา
ก็ถ้าเราไม่ไว้ใจคนในสถาบันอุดมศึกษา แล้วเราไปเอาคนพวกนั้นเค้ามา มันก็อีหรอบเดิม
เว้นแต่ไปเอาคนที่ไม่ชอบอธิการบดีมา นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การไปรับรองหลักสูตรหรือการไปรับรองปริญญา
เป็นการทำหน้าที่ที่เกินจำเป็นของสภาวิชาชีพหรือไม่
รัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ว่า
“การประกอบอาชีพเป็นเสรีภาพอย่างหนึ่ง
การจะจำกัดเสรีภาพนี้ได้จะต้องมีกฎหมายกำหนด และกฎหมายนั้นจะกำหนดได้ก็เฉพาะเพื่อการบางอย่างรวมทั้งการจัดระเบียบวิชาชีพ”
ถามว่า “การรับรองปริญญาหรือการรับรองหลักสูตร
เป็นการจัดระเบียบวิชาชีพหรือไม่”
การกำหนดให้คนมาขออนุญาตอยู่ในเกณฑ์ที่จะถือได้ว่าเป็นการจัดระเบียบ
การความคุมจรรยาบรรณ การควบคุมมาตรฐาน ถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นการจัดระเบียบวิชาชีพ
แต่การรับรองหลักสูตรและการรับรองปริญญา คำอธิบายอยู่ตรงไหน
ในขณะเดียวกัน
รัฐธรรมนูญก็รับรองว่า “การศึกษาอบรมเป็นเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครอง”
ไปจำกัดไม่ได้เลย ในทางวิชาการ รัฐธรรมนูญก็รับรองว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในทางวิชาการ
การศึกษาอบรม การเรียนการสอน การวิจัย และการเผยแพร่งานวิจัยตามหลักวิชาการ
ย่อมได้รับความคุ้มครอง” มีข้อจำกัดอยู่แต่เฉพาะว่า
“เท่าที่ไม่ขัดต่อหน้าที่พลเมืองหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนเท่านั้น”
แถมต่อท้ายว่า “รัฐจะต้องให้การสนับสนุน”
ดังนั้น การที่เรามีกฎหมายเข้าไปลิดรอนเสรีภาพการสอนการวิจัยการเรียน
โดยกำหนดให้ต้องมารับความเห็นชอบก่อน มันหมิ่นเหม่เหมือนกันครับ
ผมไม่บอกหรอกว่ามันขัดรัฐธรรมนูญ แต่มันหมิ่นเหม่เหมือนกันว่า
เราก้าวก่ายเกินจำเป็นหรือไม่
ถ้ากฎหมายกำหนดว่า
คนที่จะประกอบอาชีพได้จะต้องได้รับปริญญาที่สภาวิชาชีพรับรองโดยไม่ต้องขออนุญาต
อย่างนั้นได้
แต่เมื่อรับรองปริญญาแล้วยังต้องมาสอบ แล้วยังต้องมาขอใบอนุญาต
เราก็เลยไม่รู้ว่าแล้วเหตุผลมันอยู่ตรงไหน
ผมเข้าใจว่า
สภาวิชาชีพเองก็เป็นห่วง ว่าถ้าไม่เข้าไปดูแล มหาวิทยาลัยอาจจะสอนอะไรสะเปะสะปะ แล้วเมื่อถึงเวลาจะมาประกอบอาชีพไม่ได้
จะทำให้เสียหายต่อผู้ใช้บริการของวิชาชีพนั้นๆ
อย่างที่เมื่อสักครู่ในการายงานการเปิดประชุม
มีการพูดถึงว่า มหาวิทยาลัยได้มีความจำเป็นที่จะต้องสอนในเชิงวิชาการเพื่อพัฒนาวิชาความรู้
สร้างองค์ความรู้ขึ้นมาใหม่ ควบคู่กับการสอนเพื่อให้ไปประกอบอาชีพ
และก็ไม่จำเป็นเสมอไปนะครับว่าคนที่จบวิชานั้นๆแล้วจะต้องไปประกอบวิชาชีพอย่างนั้น
ในกฎหมายบางฉบับบอกว่า
การไปประกอบวิชาชีพนั้นในสถานตามคำสั่งของทางราชการ คือพวกเป็นข้าราชการ
ก็ได้รับยกเว้นไม่ต้องขอใบอนุญาต เพราะฉะนั้น คนครึ่งหนึ่งอาจไปรับราชการ
คนอีกครึ่งหนึ่งอาจะไปประกอบอาชีพ เค้าก็ไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาต
ในกรณีที่ความเป็นห่วงเป็นใยอย่างนั้น
ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาทั้งหลายในเวลาจัดหลักสูตร
เค้าคงต้องชำเลืองมองข้อสอบของสภาวิชาชีพอยู่เสมอ
แล้วคงต้องสอนให้ลูกศิษย์เค้าไปสอบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
จะออกมากลเม็ดเด็ดพลายอย่างไรเค้าต้องไปปรับปรุงของเค้าอยู่แล้ว แน่ละ
บางทีมหาวิทยาลัยอาจจะก้าวไม่ทัน เพราะสภาวิชาชีพพร่ำบ่นอยู่กับวิชาชีพนั้นๆ
ผมคิดว่าระหว่างมหาวิทยาลัยกับสภาวิชาชีพ
คงต้องใช้วิธีการร่วมมือกันในการพัฒนาหลักสูตร การเรียน การสอน
และยกระดับความรู้ความชำนาญจองผู้ที่จะไปประกอบวิชาชีพ
ไม่ควรใช้ในลักษณะใครคนใดคนหนึ่งมีอำนาจเหนือใครอีกคน เพราะนั่นรังแต่จะให้เกิดความกินแหนงแคลงใจ
และสกัดกั้นการพัฒนาความรู้ที่สมควรจะต้องมี
ผมก็เลยมาคิดอย่างนี้ว่า
ถ้าเราปรับโครงสร้าง ของคณะกรรมการการอุดมศึกษาเสียใหม่ นอกจากคนในแวดวงการศึกษา
คนในแวดวงมหาวิทยาลัยแล้ว เอาคนในแวดวงสภาวิชาชีพเข่าไปนั่งร่วมกันเสียในที่นั้น
และเมื่อใดที่จะพิจารณาเรื่องของหลักสูตรของวิชาชีพใด
ก็ให้เชิญผู้แทนของวิชาชีพนั้นไปเป็นกรรมการเฉพาะเรื่องนั้น แล้วก็กำหนดกันเสียที
ใครอยากได้อะไรก็บอกกันเสียที่ตรงนั้น
มันก็จะเป็นมาตรฐานที่ไปใช้กับมหาวิทยาลัยทั่วๆไป โดยไม่ต้องมีการรับรองปริญญาหรือรับรองหลักสูตรกันใหม่
ให้ซ้ำซ้อน ให้เสียเวลา ให้เปลืองกำลังคน ถ้าทำอย่างนี้ได้
ผมคิดว่าน่าจะสมประสงค์ด้วยกันทุกฝ่าย
แน่นอนละในระหว่างการเรียนการสอนหลักสูตรหรือปริญญานั้นๆ
มันก็อาจจะมีคนที่สถาบันอุดมศึกษาปล่อยปละละเลย ไม่ทำให้ถูกต้อง
ก็ให้สิทธิ์สภาวิชาชีพที่จะแจ้งไปยังคณะกรรมการการอุดมศึกษา
ซึ่งคุมระบบการอุดมศึกษาทั้งหมด ให้ไปตรวจสอบดู
ส่วนสภาวิชาชีพ
เมื่อเวลาจะให้อนุญาตใคร ก็อยู่ในวิสัยที่จะทดสอบความรู้พื้นฐานได้
ถ้าใครได้รับใบอนุญาตไปแล้ว ไปทำอะไรที่ไม่ดีก็มีอำนาจ เพิกถอนใบอนุญาต
พักใช้ใบอนุญาตได้อยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น
วัตถุประสงค์หลักของการควบคุมจรรยาบรรณ ควบคุมการประกอบวิชาชีพก็จะสมประสงค์
โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อไป
อย่างที่ผมเรียนมาตั้งแต่ต้นว่า
อำนาจนั้น เมื่อใครมีแล้วมันก็จะไปใช้กับคนอื่น คนอื่นก็จะต้องปฏิบัติตาม
สภาวิชาชีพการบัญชี เข้มงวดกวดขันกับการออกใบอนุญาตผู้สอบบัญชี
มีอำนาจในการรับรองปริญญาของคนที่จะเข้ามาเป็นสมาชิก ใครจะได้รับอนุญาตต้องไปสอบอย่างเข้มงวดกวดขัน
ดูจะเป็นความเข้มงวดกวดขันที่แรงที่สุด และถือเป็นของธรรมดา
ที่คนจบบัญชีแล้วไม่ได้ใบอนุญาตสอบบัญชี
แพทย์ไม่ใช่ของธรรมดาที่จบแพทย์แล้วไม่ได้ใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ
แต่ครึ่งหนึ่งของคนจบบัญชีไม่ได้ใบอนุญาตผู้สอบบัญชี ก็นับว่าเข้มงวดกวดขัน
วันหนึ่ง กลต.เค้าก็มีอำนาจ
เค้าบอกว่าเค้ามีอำนาจในการ บริษัทที่อยู่ในเป็นบริษัทมหาชนจะต้องมีผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจาก
กลต. ก่อน ตกลงอำนาจของคณะกรรมการวิชาชีพการบัญชีก็มีอำนาจต่อคนทำงานบัญชี
ให้ใบอนุญาตไป ไม่ได้แปลว่าจะไปทำงานได้ เพราะ กลต. มีอำนาจเหนือกว่าไปกำหนดบอกว่า
ใครก็ตามที่จะมาเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะต้องได้รับความเห็นชอบจากเค้าก่อน
ซึ่งก็เป็นอำนาจซ้อนอำนาจ ยังเถียงกันไม่จบ สภาวิชาชีพบัญชีเค้าก็เถียงว่า
เค้ามีอำนาจในการให้ใบอนุญาต ใบอนุญาตเค้าต้องใช้ได้ กลต.ก็บอกว่า
จะเข้าไปอยู่ในแวดวงเค้าก็ต้องให้ความเห็นชอบ ไม่รู้เปลี่ยนนายกสภาแล้ว เปลี่ยน
กลต.แล้วจะตกลงกันได้หรือยัง
นั่นมันบอกให้รู้ว่า
อำนาจนั้น พอให้คนไปใช้มันก็จะกระทบกระเทือนคนที่อยู่ใกล้เสมอ
ด้วยผลของอำนาจนั้นเราจึงเห็นกันพนักงานผู้ตรวจสอบบัญชีที่มีชื่อเป็นฝรั่งล้วนๆ
ชื่อไทยไม่ค่อยมี ซึ่งนั่นก็เป็นอันตรายอย่างหนึ่ง เพราะคน
กลต.พูดภาษาอังกฤษทั้งนั้น
วันข้างหน้า
เรากำลังจะเปิดประเทศ วิชาชีพต่างๆที่กำหนดกันไว้ว่า ส่วนใหญ่กำหนดกันไว้ว่า
ต้องมีสัญชาติไทย ซึ่งเราคุ้มครองเอาไว้
ก็ยังไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะต้องมาตะลุยแก้กฎหมายประโยคนี้ออกกันมากน้อยเท่าไร
สุดแต่ว่าคนไปเจรจาจะคิดหรือแข็งขันมากน้อยเพียงใด
ผมดีใจที่ได้มีการประชุมกัน
หารือกันในวันนี้ ก็หวังว่าทุกท่านจะได้หารือกันด้วยเหตุด้วยผล
และสามารถหาข้อยุติได้ ขณะนี้ สำนักงานการอุดมศึกษากำลังยกร่างกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการการอุดมศึกษาใหม่
ถ้ามีข้อตกลงอย่างไร ที่จะให้อำนาจนั้นไปอยู่ที่คณะกรรมการการอุดมศึกษา
สภาวิชาชีพไปมีส่วนร่วมเสียตั้งแต่ตรงนั้นก็กรุณาบอกไปจะได้ทำกฎหมายเสียให้มันสอดคล้องกันในคราวเดียวกัน
ก็คิดว่าได้เวลาที่กำหนดไว้ ขอจบแต่เพียงเท่านี้ครับ
Related Links:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น