วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

มหัศจรรย์จากงานกาชาด


นี่เป็นเรื่องที่ผมประสบมาจริงๆ เป็นเรื่องที่หลักการทางฟิสิกส์วิทยาศาสตร์อธิบายยากหรือยังไม่สามารถอธิบายได้  ขอให้ใช้หลักกาลามสูตรในการอ่านติดตาม 

ช่วงเวลาปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายนของทุกปี จะมีงานกาชาดจัดกันกลางแจ้ง ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 สวนอัมพร ฯลฯ เป็นบริเวณกว้างมาก  มีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนมาออกร้านจำนวนมาก  เช่น กองทัพบก เรือ อากาศ ตำรวจ กระทรวงต่างๆ จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ เกษตร รามคำแหง บริษัทเอกชนอีกมากเป็นต้น มีการจำหน่ายสลากกาชาดเพื่อการกุศล สอยดาว ขายสินค้าคุณภาพลดราคา ซุ้มสวนอาหาร ของกินเพียบ ฯลฯ  
ช่วงเวลาการจัดงานกาชาดนั้น เป็นฤดูร้อน อากาศร้อน และท้องฟ้าปลอดโปร่งไม่มีฝน  งานเริ่มตั้งแต่เที่ยงอากาศร้อนเปรี้ยง คนไม่ค่อยไปเที่ยว แต่ตอนบ่ายแก่ๆ แดดร่มลมตก ไม่ร้อนตับแล่บอย่างที่หลายคนจินตนาการ ไม่ต่างอะไรกับการไปเดินที่เอเชียทีคหรือเดอะเซอร์เคิล ลมพัดเย็นสบายท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆกับทัศนียภาพของถนนราชดำเนิน คนเริ่มทยอยมากันแน่นเลย ผมและครอบครัวก็เป็นหนึ่งในนั้นทุกปี ปกติผมจะขับรถไปจอดที่วัดมกุฏฯแล้วเดินจากสะพานมัฆวานตามถนนราชดำเนินจนถึงทางเข้างานกาชาด เส้นทางนี้สะดวกดี เสียค่าบัตรผ่านประตูคนละ 20 บาท

เดินไหลไปตามฝูงชน พอถึงหน้าพระบรมรูปทรงม้า จุดธูปกราบไหว้บูชารัชกาลที่ 5 จากนั้นก็เดินชมซุ้มต่างๆ ส่วนใหญ่ผมจะไปที่ซุ้มของจุฬาฯก่อนเลยเพื่อซื้อสลากกาชาดจุฬาฯ ใบละ 100 บาททุกปี ด้วยความที่ว่าเราเป็นศิษย์เก่าจบจากที่นั่น ตอนซื้อจิตคิดทำบุญ บางปีไม่ได้ตรวจสลากที่ซื้อมาเลยว่าถูกหรือไม่

ส่วนลูกชายชอบยิงปืน เขาก็ชวนไปที่ซุ้มกองทัพเรือ ขอยิงเป้าด้วยปืนจริงกระสุนจริง มีทหารเรือคอยให้คำแนะนำในการยิง เสียงดังสนั่น ปั้งๆๆๆ ต้องตะโกนคุยกัน
เราทำกิจกรรมหลายอย่าง เมื่อท้องเริ่มหิว เราจะเดินมาถึงซุ้มของกองทัพเรือพอดี เป็นแผนการเดินเที่ยวงานที่เรากำหนดไว้แล้ว ที่ซุ้มกองทัพเรือมีร้านอาหารด้วย เราชอบที่จะมารับประทานอาหารที่ร้านกองทัพเรือเพราะ คุ้นเคยกับทหารเรือเนื่องจากคุณพ่อของภรรยาเป็นนายทหารเรือ  ที่ผ่านสมรภูมิรบในคาบสมุทรเกาหลีเมื่อสมัยที่เกาหลีเหนือและใต้ทำสงครามกันเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้วกรณีพิพาทเส้นขนานที่ 38 คุณพ่อของภรรยาได้เสียชีวิตแล้วเมื่อปี 2554 ด้วยโรคมะเร็งปอด
ร้านอาหารกองทัพเรือตั้งอยู่บนถนนหน้าพระที่นั่งอนันตสามคม วิวดีมาก บรรยากาศดีมากๆ มีวงดุริยางค์ของนักเรียนดุริยางค์กองทัพเรือบรรเลงและขับร้อง มีดารามาร่วมงานด้วย กินข้าวไปฟังเพลงไป เป็นความอภิรมย์ที่หาได้ในราคาไม่แพงเลย ทุกๆปีเมื่อมีเวลาครอบครัวผมก็จะไปเที่ยวงานกาชาด สนุกและได้ร่วมทำบุญ ได้รับประทานอาหารอร่อยราคาไม่แพง ควบคู่ไปกับการได้ฟังการบรรเลงและขับร้องเพลงของราชนาวีไทย

แล้วก็มาถึงปีนี้ 2556 มีเรื่องความแปลกประหลาดมหัศจรรย์เกิดกับผม เกิดขึ้นเวลากลางคืนวันที่ 31 มีนาคม

ระหว่างรับประทานอาหารที่ร้านกองทัพเรือในปีนี้ ขณะได้ยินเสียงเพลงวอลซ์นาวี  ราชนาวี  เนวีบลู และอีกหลายเพลง ทุกเพลงได้ฟังแล้วรู้สึกขนลุกครับ เนื้อหาทะลุทะลวงเข้าไปถึงใจ ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย  ชาติไทยที่มีประวัติอันยาวนาน ได้นั่งรำลึกถึงพ่อตาซึ่งท่านเป็นนายทหารเรือและผ่านศึกเกาหลีในอดีต นึกถึงเกียรติภูมิของเหล่าทหารเรือที่สร้างไว้ นึกถึงความมีระบบระเบียบวินัย คำปฏิญาณที่แม้ชีวิตก็ยอมสละได้เพื่อปกป้องประเทศไทย และเหล่าทหารเรือจำนวนมากพลีชีพในสมรภูมิไปแล้ว จิตของผมระหว่างนั้นก็นึกย้อนถึงตัวเราประชาชนคนธรรมดา เราเป็นคนไทย  หากเราทำงานเป็นข้าราชการ เป็นข้าแผ่นดิน กินเงินเดือนจากภาษีของราษฎร เกียรติภูมิของเราอยู่ที่ใด????”



เราใช้เวลาอยู่ที่งานกาชาดตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสามทุ่มครึ่ง กลับถึงบ้านก็ร่วมสี่ทุ่มครึ่ง อาบน้ำ พักผ่อน สักครู่ ผมก็ได้โพสต์ข้อความลงใน facebook เป็นข้อความที่สะท้อนความรู้สึกขณะรับประทานอาหารที่ร้านกองทัพเรือ ขณะโพสต์ ผมรู้สึกว่าจิตใจมีสมาธิและอินกับเรื่องนี้มาก จากนั้นเข้านอน

ในห้องนอน ผมและภรรยาเก็บหมวกนายทหารเรือของพ่อตาไว้ พ่อตาเสียชีวิตในปีน้ำท่วมใหญ่ และเก็บกระดูกของพ่อผมเองไว้ด้วย คือมีทั้งของพ่อและพ่อตา เมื่อเข้าห้องนอนประมาณตีหนึ่ง สวดมนต์ก่อนนอน ปิดไฟล้มตัวลงนอน เวลานั้นผมเข้านอนก่อน ลูกและภรรยายังไม่เข้านอน ปกติจะนอนสามคน ผม ภรรยาและลูก

นอนหลับตาไปซักครู่ยังไม่หลับ ทันใดก็รู้สึกที่นอนสั่นเหมือนมีคนเดินรอบๆตัวบนที่นอน ประมาณสองครั้ง ห่างกันไม่ถึงนาที มันชัดเจนมาก มันเหมือนมีแรงกระทำจากอะไรบางอย่าง ผมรีบลืมตาแต่ก็ไม่เห็นอะไรเพราะมันมืด ทำให้ผมต้องหยิบไฟฉายมาส่องไปรอบบริเวณห้องนอน และบริเวณที่นอนของลูกและภรรยา เพราะคิดไปว่า อาจเป็นลูกและภรรยาเดินเข้าห้องนอนก็ได้ แต่ปรากฏว่า ที่นอนตรงที่ภรรยาและลูกนอนก็ว่าง แปลว่าทั้งคู่ยังไม่เข้านอน จึงปิดไฟฉายแล้วนอนต่อ

เวลานั้น จิตใจของผมนิ่งมากและว่าง ไม่คิดไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นเรื่องลึกลับอะไรเลย  สักครู่เดียว ที่นอนก็สั่นอีกเหมือนตอนแรก แต่เบาลง และเกิดตามมาอีกติดๆเป็นครั้งที่สี่และเบาลง จิตใจผมนิ่งไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลใดๆ จากนั้นก็หลับสนิทเลยจนตื่นในตอนเช้า
เช้าวันรุ่งขึ้นผมไปทำงานตามปกติ เมื่อกลับจากที่ทำงานถึงบ้านตอนเย็น  จึงเล่าเรื่องให้ภรรยาฟัง พลันน้ำตาของภรรยาก็ไหลหยดออกมา แล้วเธอก็พูดว่า
สงสัยพ่อจะมาหา
นี่แหล่ะครับ คือ เรื่องความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับผมในขณะที่สติสัมปชัญญะยังดีอยู่  
สิ่งนี้เกิดจากอะไร
เพราะอะไรสิ่งนี้จึงเกิด

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

อยู่รอดให้ถูกต้อง


หลายปีมาแล้ว ผมไปเป็น Lead เยี่ยมสำรวจภาควิชาหนึ่งในคณะเทคนิคการแพทย์ที่ศาลายา ตามมาตรฐาน MUQD ได้คุยกับอาจารย์ของหน่วยงานนั้นหลายท่านที่เชิญมาให้ผมสัมภาษณ์พร้อมๆกันอยู่นาน จึงได้สัมผัสความทุกข์ของอาจารย์เหล่านั้น ส่วนมากเป็นทุกข์ที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานที่มีความคิด มีความต้องการไม่ตรงกัน และไม่อาจปรับเข้าหากันได้

ตอนหนึ่ง อาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมสัมภาษณ์ก็พูดว่า
"หนูจำคำพูดของอาจารย์ (หมายถึงผม) ได้ และประทับใจมาก ยังจำได้แม่นค่ะ ตอนนั้นอาจารย์พูดออกความเห็นในที่ประชุมบุคลากรของคณะฯว่า ......เราต้องทำหน้าที่ของเราเพื่อความอยู่รอดอย่างถูกต้อง......หนูจึงต้องอยู่ต่อไปให้รอดอย่างถูกต้องค่ะ"
ผมก็ให้กำลังใจอาจารย์เค้า และแอบอุทานในใจเบาๆว่า!!! สิ่งที่ผมพูดวันนั้นนานมาแล้ว ยังมีคนจำได้อีกหรือนี่
ความหมายที่พูดต่อประชาคมทั้งคณะวันนั้น ไม่มีอะไรลึกซึ้งครับ ตรงไปตรงมา ต้องการเปิดมุมมองในการทำหน้าที่ของเรา ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน หรือในสังคมวงกว้าง
ตัวอย่างเช่น....คนที่เป็นโจร ถ้าเขาคิดว่า เขามีหน้าที่ปล้น เขาก็ตั้งใจทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยมด้วยการคิดค้นวิธีปล้นคนอื่น ด้วยวิธีการที่หลากหลาย สามารถบรรลุผลสำเร็จทุกครั้ง และทำให้เขาอยู่รอดได้ (ลอยนวล) ถามว่าถูกต้องไหม??? ผมว่าไม่ถูกต้อง แม้ตัวเองจะรอดด้วยการปล้นคนอื่น แต่ก็ไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น อย่างนี้ไม่ถูกต้องครับ "คืออยู่รอดแต่ไม่ถูกต้อง สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น" วันนั้นคิดเท่านั้น

มาถึงวันนี้ ได้เห็นและได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นว่า
 บางคนทำงานหรือใช้ชีวิตโดยใช้ IQ มากเกินไป
คือคนที่ทำงานโดยใช้ IQ หรือสมองที่เรียนรู้ความรู้ทางโลก ความฉลาดทางโลก เช่น วิทยาศาสตร์ จนรู้เรื่องนั้นดี และใช้ความรู้นั้นทำงาน ได้เงินทองมากมายมาเลี้ยงชีวิตจนตายก็ไม่หมด จึงมีโอกาสสูงที่คนแบบนี้จะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอๆเมื่อมีโอกาสและโดยไม่รู้ตัว
ได้เห็นบางคนมี EQ+ธรรม ต่ำ ไม่สามารถควบคุมอารมย์ของตัวเองได้ ขาดเข็มทิศนำทางชีวิตไปสู่ความสุขสงบ อย่างน่าสงสารและน่าเสียดาย ทั้งที่ได้โอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีความฉลาดทางโลกแล้ว
นั่นเป็นสภาวะที่ขาดสมดุลอย่างยิ่ง ระหว่างการมี IQ กับการมี EQ+ธรรม
คือ ผมคิดว่า ชาวเราควรมีทั้งสองอย่างให้สมดุล เราไม่อาจขาดอย่างใดอย่างหนึ่งได้ มันต้องสมดุล ไม่ใช่อยู่ตรงกลางระหว่าง IQ กับ EQ+ธรรม มันต่างกันครับระหว่างสมดุลกับอยู่ตรงกลาง สมดุลคือต้องมีทั้งสองอย่าง แต่ตรงกลางคือไม่มีทั้งสองอย่าง
ยิ่งชาวเรามี IQ สูง ก็ยิ่งต้องมี EQ+ธรรม ที่สูงมากตามไปด้วย
หาไม่แล้ว เราก็จะใช้ IQ ของเราไปในการแสวงหาประโยชน์ใส่ตนอย่างสุดเหวี่ยง อยู่ในความมืดสีขาวคือความมืดที่โอบล้อมด้วยกิเลศอย่างแท้จริง จนตัวเองหลงไปว่านั้นคือสิ่งที่ดีแล้วสำหรับชีวิต มองไม่เห็นบาปบุญคุณโทษและเวรกรรม
ชาวเราเป็นเช่นนี้ไหมครับ 
      อย่าคิดว่า ทำงานโดยใช้สมองทางโลกอย่างเดียวจะดีเลิศประเสริฐศรีนะครับ
      อันตรายนะครับ
ต้องทำงานเพื่อความสวยงามและเกิดความเจริญงอกงามของส่วนรวม ไม่ต้องถามว่า ทำแล้วเราจะได้อะไร เพราะจะเกิดความลังเลในการทำให้ดี ถ้าทำเพื่อส่วนรวมให้ดีแล้ว ก็ดีแล้ว แค่นั้น