วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์

จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์>หน้าการศึกษา>ตีเกราะเคาะไม้ วันจันทร์ ที่ 21 มีนาคม 2554

ข่าวใหญ่ระดับโลกเวลานี้ เห็นทีจะหนีไม่พ้นกรณีแผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นที่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ระเบิดขึ้นที่เมืองเซนได แน่นอนว่าอานุภาพความร้ายแรงของคำว่า “นิวเคลียร์” ไม่เข้าใครออกใคร ส่งผลให้หลายประเทศออกมาเตรียมการเฝ้าระวัง ซึ่งคนไทยเองก็หวั่นวิตกกันไม่น้อย ด้วยความกังวลว่าจะมีกัมมันตภาพรังสีแผ่มาถึง วันนี้เรามาฟังความเห็นบุคลากรในแวดวงการศึกษาว่ารู้สึกอย่างไรบ้างกับเรื่องนี้



    น.ส.จิตพิสุทธิ์ เกตุกระทึก หรือน้องวิว นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา บอกว่า ประเทศญี่ปุ่นนับเป็นประเทศที่ไม่เคยหยุดการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างความสะดวกสบาย โดยมีระบบรักษาความปลอดภัยที่คิดว่าดีที่สุด แต่ผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิ จนเกิดกรณีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดได้สร้างความเสียหายในหลาย ๆ ด้านให้แก่ญี่ปุ่น สร้างความบอบช้ำให้แก่ประชาชนทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวจากการตกค้างของกัมมันตภาพรังสี ทำให้เห็นได้ว่าเทคโนโลยีไม่อาจอยู่เหนือภัยธรรมชาติ และหากถามว่าคิดเห็นอย่างไร หากประเทศไทยจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คงต้องขอตอบว่า ไม่เห็นด้วย เพราะยังไม่เห็นความจำเป็นที่สมเหตุสมผลพอเมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างกำไรจากผลประโยชน์ที่จะได้รับเพื่อให้ได้มาซึ่งเชื้อเพลิงที่มีราคาถูก และสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ปริมาณมาก เทียบกับการที่ต้องขาดทุนหากเหตุการณ์แบบที่ฟุกูชิมาย้อนรอยกลับมาเกิดที่ประเทศไทย เพราะการเก็บรักษาเชื้อเพลิงใช้แล้ว จะมีกัมมันตภาพรังสีระดับสูง เมื่อเกิดการรั่วหรือระเบิดคงนับว่าเป็นการขาดทุนอย่างมหาศาล และมันคงไม่คุ้มเลยที่ประชาชนจะต้องตกอยู่ในฝันร้ายไปอีกนาน

     นายรุ่งโรจน์ พรขุนทด นิสิตปริญญาโท ปี 2 สาขาการจัดการกีฬา คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า ตอนนี้คนตื่นตัวกันมากก็จริง แล้วจากนี้ล่ะ เมื่อเวลาผ่านไปสักพักเรื่องก็คงจะเงียบหายไป แล้วทุกอย่างก็กลับเหมือนเดิม ไม่ต่างจากเหตุการณ์โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดที่เชอร์โนบิล ซึ่งตอนนั้นทั้งโลกตื่นกลัวกันมาก แต่คนไทยอาจผ่านเหตุการณ์ไปโดยที่ไม่ได้รับความรู้อะไรจริง ๆ เพิ่มขึ้นมาเลย เพราะมีเพียงแค่ความหวาดกลัว แต่ไม่ได้มีความเข้าใจ ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าการศึกษาไทยไม่ได้สอนให้คนรู้จักคิดเป็น รัฐบาลควรให้คนคิดเป็นตั้งแต่ในระดับล่างหรือทุก ๆ คน เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เชื่อมโยงกับไทย เกี่ยวกับการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ แต่ก็ยังมีความเห็นสองฝ่ายมานานแล้ว และต่างฝ่ายก็ต่างให้ข้อมูล ดังนั้นถ้าคนส่วนมากคิดไม่เป็นก็ทำให้เกิดปัญหาและความขัดแย้งกัน อย่างไรก็ตามในเรื่องการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น ส่วนตัวไม่มีปัญหาอะไร เพราะคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ แต่จะต้องให้ความเชื่อมั่นได้ในเรื่องความปลอดภัย แต่ก็เห็นว่าพูดกันมานานไม่เกิดขึ้นสักที ไม่รู้ว่าที่จริงตอนนี้ปัญหาคืออะไร เพราะกรณีศึกษาในเรื่องนี้ก็มีเยอะอยู่แล้ว และเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์ไทยก็เก่งเยอะ ปัจจัยทุกอย่างเป็นไปได้หมด เพราะถ้าจะสร้างจริงรัฐบาลก็คงมีเงินสร้าง ดังนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะคิดหาผลประโยชน์กับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่ ในส่วนที่มีความเห็นคัดค้านกันก็แนะนำให้ทำประชามติ แต่ประชาชนจะต้องคิดเป็นให้ได้ก่อน

     สอดคล้องกับ รศ.มานัส มงคลสุข หัวหน้าวิชารังสีเทคนิค คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า สังคมมีการตอบสนองอย่างมาก จนเรียกว่าเป็นความหวาดกลัวจนเกินเหตุ สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์อยู่มาก แม้จะเป็นคนมีการศึกษาในระดับสูงแล้วก็ตาม ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน ต้องช่วยกันคือการให้ความเข้าใจ แต่ในส่วนของการให้ความรู้นั้น ส่วนตัวคิดว่าจะต้องมีการปรับระบบการศึกษากันใหม่ให้มีการปูพื้นฐานในทุกด้านที่เกี่ยวกับชีวิต จะช่วยให้ประชากรในประเทศพร้อมเข้าใจอะไรมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการศึกษา ขณะนี้เราผ่านเข้าสู่ศตวรรษที่  21 มาหลายปีแล้ว สิ่งที่ต้องเรียนรู้คือการอยู่อย่างไรให้รอดในยุคนี้มากกว่าการมานั่งท่องตำราวิชาการอย่างเดียว ส่วนความเห็นการสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ในประเทศไทย เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงมาตั้งแต่สมัยที่ตนเองเด็ก ๆ และคิดว่าจะยังคงถกเถียงกันต่อไป เพราะไม่เพียงรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศจะสุ่มเสี่ยงเมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ยังพบว่ามีปัญหาใหญ่ในเรื่องความเข้าใจของประชาชน หากกระแสการตื่นตัวในวันนี้ไม่ได้ช่วยให้เกิดการเตรียมความพร้อม ต่อไปในอนาคตแม้ว่าจะมีเงินแค่ไหนแต่ยังไงก็สร้างโรงไฟฟ้าฯ ไม่ได้อยู่ดี สำหรับข้อมูลโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในทางวิชาการต้องยอมรับว่ามีประโยชน์มาก เมื่อเทียบกับการผลิตพลังงานในสาขาอื่น เช่น การใช้ถ่านหินและลิกไนต์ แต่ก็ต้องพิจารณาความคุ้มค่าและความพร้อมภายใต้สภาพการณ์ของเมืองไทยด้วย เพราะที่ญี่ปุ่น มีโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ถึง 50 กว่าแห่งได้ เพราะประเทศเขามีความเคร่งครัดเป็นระบบ และประชาชนมีความเป็นระเบียบวินัยสูง

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

"เตาปฏิกรณ์คุง" ปวดท้องอึ

     จากกรณีที่ Fukushima Nuclear Power Plant หรือโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ได้รับความเสียหายจากการเกิดแผ่นดินไหวระดับความแรง 9.0 ตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 และมีรังสีรั่วไหลออกมา จนมีการแพร่ของสารกัะมมันตรังสี ทางการญี่ปุ่นได้อพยพประชาชนออกไปอยู่นอกเขตโรงไฟฟ้า 20 km ซึ่งเป็นไปตามมาตรการด้านความปลอดภัยทางรังสี ความรุนแรงของอุบัติเหตุทางรังสีครั้งนี้จัดอยู่ในระดับ 5 (จากระดับที่ IAEA กำหนด 0-7) เทียบเท่าอุบัติเหตุโรงไฟฟ้าที่ Three Mile Island ของอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1979
     ท่ามกลางวิกฤติที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญอยู่ ในอีกด้านหนึ่ง มีประเด็นเล็กๆแต่มีความหมายมาก คือ วิธีการที่คนญี่ปุ่นบอกกับเด็กๆว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นมันคืออะไร 
     ได้มีการอธิบายให้เด็กเข้าใจเหตุการณ์ผ่านสื่อการ์ตูน ที่ทำขึ้นอย่างรวดเร็ว เปรียบเทียบว่า เตาปฏิกรณ์ชื่อ คุง ซึ่งเป็นเตาปฏิกรณ์ที่อยู่ในเมืองฟูกูชิมะรู้สึกปวดท้องอึขณะที่เกิดแผ่นดินไหว และอั้นไว้ไม่ไหวจึงปล่อยตดหรือผายลมออกมาดังมาก ทำให้ทุกคนตกใจ แต่อึที่อยู่ในเตาปฏิกรณ์ยังไม่ออกมา และตอนนี้หมอกำลังรักษาอยู่ ด้วยการฉีดยาให้ นั่นคือน้ำทะเล อาการดีขึ้นแต่ก็ยังมีการผายลมออกมาบ้าง ลองดูจากแอนนิเมชั่นครับ

     เป็นวิธีการสื่อสารกับเด็กๆ ซึ่งเป็นผลงานของ Kazuhiko Hachiya ที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง ดูเป็นการทำการ์ตูนที่ง่ายๆ แต่การคิดเนื้อหาออกมาได้แบบนี้ น่าจะยากน่าดู และคิดทำได้เร็ว ก็น่าจะเป็นเพราะการทำด้วยใจและมีความพร้อม 
     ผมได้ยินหลายคนพูดว่า "โชคดีที่โรงไฟฟ้าระเบิดที่ญี่ปุ่น" ถ้าเป็นที่อื่น สถานะการณ์อาจรุนแรงกว่านี้ก็ได้ จริงหรือไม่ครับ
     

เบตาดีนป้องกันสารกัมมันตรังสีไม่ได้

     จากการเกิดแผ่นดินไหวความแรง 9.0 ริกเตอร์ เมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 ที่บริเวณชายฝั่งตะวันออกของประเทศญี่ปุ่นใกล้กับเมือง Sendai ทำให้เกิดคลื่น Stunami ขนาดใหญ่ถล่มตามชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่นเป็นระยะทางยาว ยังความเสียหายที่ต้องเรียกว่าหายนะครั้งร้ายแรงของญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังเกิดผลกระทบต่อโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Fukushima Daiichi ซึ่งอยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิกทางฝั่งตะวันออกของเกาะญี่ปุ่น ไปทางตอนเหนือของกรุงโตเกียว 250 กิโลเมตร ใกล้กับเมือง Sendai เกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี และมีรังสีแผ่ออกมาบริเวณรอบๆในระดับ 5 
     ในประเทศไทยเกิดข่าวลือเกี่ยวกับรังสีที่จะมาถึง และตระหนก จนมีการพูดกันเรื่องการใช้เบตาดีนมาป้องกันรังสีแพร่กระจายไปทั่ว โดยเฉพาะในโลกอินเตอร์เนต 
     เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ นักวิชาการที่เกี่ยวข้องได้ทำความเข้าใจกับประชาชนทั่วไป โดยสรุปคือ เบตาดีนไม่สามารถป้องกันสารกัมมันตรังสีได้ ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง 



นักวิชาการมหาวิทยาลัยมหิดล ชี้แจงการใช้เบตาดีนทาบริเวณคอเพื่อกันรังสีได้หรือไม่
ที่ห้อง k102 อาคารเฉลิมพระเกียรติ คณะวิทยาศาสตร์ วิทยาเขตพญาไท
ออกอากาศทาง Voice TV วันที่ 18 มีนาคม 2554

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

ผลกระทบแผ่นดินไหวต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima Daiichi


3,754 ครั้ง




     จากการเกิดแผ่นดินไหวความแรงขนาด 9.0  เมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 เวลา 14.46 น. ตามเวลาท้องถิ่น ที่บริเวณชายฝั่งตะวันออกของประเทศญี่ปุ่นใกล้กับเมือง Sendai ทำให้เกิดคลื่น Stunami ขนาดใหญ่ถล่มตามชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่นเป็นระยะทางยาว ยังความเสียหายที่ต้องเรียกว่าหายนะครั้งร้ายแรงของญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังเกิดผลกระทบต่อโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Fukushima Daiichi ซึ่งอยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิกทางฝั่งตะวันออกของเกาะญี่ปุ่น ไปทางตอนเหนือของกรุงโตเกียว 250 กิโลเมตร ใกล้กับเมือง Sendai

1.) Block Diagram ของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์



Interactive Animation ของเตาปฏิกรณ์ Fukushima

     โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จะต้องมีการกำกับดูแลความปลอดภัยโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์อย่างเคร่งครัดตามมาตรฐานของ IAEA ที่สาคัญ 3 ประการ คือ ความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ (Nuclear Safety) ความมั่นคงปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ (Nuclear Security) และการพิทักษ์ความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ (Nuclear Safeguards)

หลักการทางฟิสิกส์ของปฏิกิริยาฟิชชัน

หลักการทำงานของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (nuclear plant)
     โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima Daiichi มีโครงสร้างตาม block diagram ใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ โดยมี modulator rods ทำหน้าที่ควบคุมปฏิกิริยาลูกโซ่ (chain reaction) ที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบ fission โดยที่การเกิดปฏิกิริยา fission 1 ครั้งจะได้นิวตรอน 2-3 ตัว byproduct (เช่น Cs-137 :30yr:betaγ Sr-90 :29yr:beta; I-131: 8day: beta&gamma เป็นต้น) และพลังงานประมาณ 200 MeV นิวตรอนที่เกิดขึ้น 2-3 ตัวนั้นจะทำให้เกิด fission ต่อไปเรื่อยๆเป็นลูกโซ่ สามารถควบคุมการเกิดปฏิกิริยาได้โดยใช้ control rods เข้าไปจับนิวตรอนไม่ให้มีมากเกินไป พลังงานที่เกิดจาก fission จะกลายเป็นความร้อนทำให้น้ำกลายเป็นไอ ไปขับ turbine ให้หมุนซึ่งจะไปเชื่อมต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (electric generator) นำออกไปใช้งาน ส่วนไอน้ำจะถูกควบแน่นและทำให้เย็น ก่อนที่จะทำการสูบกลับเข้าถังเชื้อเพลิง และจะหมุนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อย จนกว่าเชื้อเพลิงนิวเคลียร์จะหมดอายุแล้วทำการเปลี่ยนใหม่
     ส่วนที่จะเกิดกัมมันตภาพรังสีจำนวนมาก คือ บริเวณแท่งเชื้อเพลิง

2.) ผลของรังสีที่มีต่อมนุษย์
     ปริมาณรังสีที่ร่างกายมนุษย์ได้รับ และอันตรายหรืออาการที่เกิดขึ้นหรือผลที่เกิดขึ้น จะมีลักษณะเป็นผลที่เกิดชัดเจน (deterministic effect) และผลที่เกิดไม่ชัดเจน (stochastic effect) 

ปริมาณรังสีที่ได้รับ
อาการ/ผลลัพธ์
10,000 mSv
ในระยะเวลาสั้น ๆ
มีอาการบาดเจ็บทางรังสีทันที/ทำให้ถึงแก่ความตายใน 2-3 สัปดาห์
1,000 mSv
ในระยะเวลาสั้น ๆ
มีอาการบาดเจ็บทางรังสี เช่นคลื่นไส้ อาเจียน/ไม่ถึงตาย/อาจเป็นมะเร็งในระยะเวลาต่อมา
20 mSv/yr
เกณฑ์ความปลอดภัยทางรังสี สำหรับผู้ปฏิบัติงาน ในสถานปฏิบัติงานทางรังสี
2 mSv/yr
ระดับรังสีปกติในธรรมชาติ
0.05 mSv
ระดับรังสีสูงสุด ที่ยอมให้มีอยู่ ณ รอบบริเวณสถานปฏิบัติงานนิวเคลียร์

mSv = millisievert                                         mSv/yr = millisievert per year


     รังสีอันตรายมากน้อยแค่ไหน >> (Nolan Hertel: Prof. of Nuclear and Radiological Engineer, Georgia Tech,..CNN)
     ความรู้เรื่อง Radiation Protection พื้นฐาน  Part1 >>,  Part2>>,  


3.) แรงระดับ 9.0 กระทบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima อย่างไร
     โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ Fukushima Daiichi มีเตาปฏิกรณ์จำนวน 4 unit เบื้องต้นวันที่ 11 มีนาคม หลังเกิดแผ่นดินไหว ตามปกติ modulation rods จะต้องเคลื่อนเข้าไปในตำแหน่งที่หยุดปฏิกิริยา fission ทันทีที่เกิดแผ่นดินไหว แต่พบว่า ระบบปั๊มน้ำระบายความร้อนของเตาปฏิกรณ์ unit 1 ขัดข้อง ระบายความร้อนไม่ทัน ทำให้เกิด overheat จนกระทั่งโครงสร้างด้านนอกของ containment building เกิดการระเบิดอย่างแรง ทำความเสียหายให้กับอาคารของ unit1 และมีผู้บาดเจ็บ แต่โครงสร้างที่เป็น containment building ไม่มีความเสียหาย

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม 2554          
     วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม 2554 การระเบิดส่วนนอกของเตาปฏิกรณ์ unit1  
     รัฐบาลญี่ปุ่นต้องประกาศสถานะการณ์ฉุกเฉิน และทำการอพยพประชาชนให้อยู่ห่างจากโรงไฟฟ้าเป็นระยะทางไม่น้อยกว่า 20 กิโลเมตร เนื่องจากตรวจพบการปนเปื้อนของสารกัมมันตรังสี ได้แก่ ซีเซียม(Cs) ซึ่งเป็น byproduct ของปฏิกิริยา fission ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิวเคลียร์ลงความเห็นว่า อาจเป็นไปได้ที่มีการหลอมละลายของแท่งเชื้อเพลิงบางส่วนใน unit1 ด้วย มีความพยายามในการควบคุมเตาปฏิกรณ์ด้วยการอัดน้ำทะเลผสมกรดโบรอนนิคเข้าไปเพื่อให้เตาปฏิกรณ์เย็นตัวลง

ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์จาก US

ข้อมูลแผ่นดินไหวจาก IAEA โดยสมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย >>>click

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2554
     ถัดมาวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2554 ได้เกิดระเบิดของแก๊สไฮโดรเจนและออกซิเจนขึ้นอีกครั้ง ที่บริเวณส่วนนอกของเตาปฏิกรณ์ unit3 ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับ unit2 และ unit4

วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2554
  
    มีรายงานว่าได้เกิดระเบิดที่ unit2 และมีไฟไหม้ที่ระบบหล่อเย็นของปฏิกรณ์ unit4 เป็นเหตุให้ระดับปริมาณรังสีรอบๆโรงไฟฟ้าขณะนี้สูงชึ้น 167 เท่าของปริมาณรังสีเฉลี่ยทั้งปี นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นได้ออกมาแสดงความกังวลอย่างมาก และได้อพยพประชาชนประมาณ 200,000 คนออกไปอยู่นอกรัศมี 20 km และขอร้องประชาชนให้อยู่แต่ในบ้าน ปิดหน้าต่างให้หมดและพยายามอย่าให้มีลมเข้าไปภายในบ้าน IAEA เรียกร้องให้กำหนดเป็นเขตห้ามบิน (no fly zone) ในรัศมี 30 km ของ Fukushima Site

    ผู้เชี่ยวชาญบางคนให้ความเห็นว่า สถานะการณ์เลวร้ายกว่าการระเบิดที่เกาะ Three Mile Island ในอดีตที่ผ่านมาซึ่งมีความรุนแรงระดับ 5 แต่ที่กำลังเกิดอยู่นี้มีความรุนแรงในระดับ 6 ส่วนที่ Chernobyl มีระดับความรุนแรง 7 ขณะนี้บางสำนักข่าวต่างประเทศพาดหัวข่าวว่า ขอเรียกร้องหา Hero ที่จะมาควบคุมสถานะการณ์นี้
     ปริมาณรังสี 6308 ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมง (JAIF Report: 23.35)

          1 = Anomaly
          2 = Incident
          3 = Serious Incident
          4 = Accident with Local Consequences
          5 = Accident with Wide Consequences
          6 = Serious Accident 
          7 = Major Accident


วันพุธที่ 16 มีนาคม 2554

Interactive Animation ของเตาปฏิกรณ์ Fukushima
     สถานีโทรทัสน์ NHK รายงายเมื่อตอนเช้าว่าเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากระยะ 30 km คาดว่า เกิดจากการระเบิดของ unit4
     จากการลุกไหม้ในส่วนของ fuel storage pond ตั้งแต่วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2554 และยังไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งจุดนี้ทำให้เกิดการรั่วของกัมมันตภาพรังสีออกสู่บรรยากาศไปแล้ว  คุณ Hajimi Motujuku โฆษกของบริษัท TEPCO (Tokyo Electric Power) กล่าวยืนยันการระเบิดของส่วนที่เป็นด้านนอกของ containment vessel เมื่อเช้าของวันพุธที่ 16 มีนาคม 2554 เป็นสาเหตุสืบเนื่องมาตั้งแต่วันอังคาร
     รัฐบาลญี่ปุ่นสั่งให้ประชาชนที่อยู่ในรัศมี 30 km อยู่แต่ในที่พักอาศัยที่ปิดมิดชิดเพื่อป้องกันการได้รับ exposure และได้สั่งห้ามเที่ยวบินในเชิงพาณิชย์บินผ่านบริเวณดังกล่าวในรัศมี 30 km

     Yukio Edano ซึ่งเป็น Chief Cabinet Secretary เปิดเผยว่า เวลา 8.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น เห็นกลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งออกมาใกล้บริเวณปฏิกรณ์นิวเคลียร์ unit3 แต่ไม่มั่นใจว่าปริมาณรังสีที่เพิ่มขึ้นเชื่อมโยงกับควันหรือไม่ ขณะที่วัดปริมาณรังสีได้ 1,000 microsieverts แล้วลดระดับลงมาอยู่ที่ 600-800 microsieverts ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอีกอย่างแรงช่วงเวลา 10.00-10.54 น. และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการบริเวณโรงไฟฟ้าได้เร่งถอนตัวออกมาก่อนชั่วคราว
     เจ้าหน้าที่ยังคงปฏิบัติการขนน้ำด้วยเฮลิคอปเตอร์ เพื่อเทลงไปที่โรงไฟฟ้า แต่ต้องใช้วิธีบินผ่านแล้วปล่อยน้ำลงไปให้ตรงเป้าหมาย ไม่สามารถลอยตัวนิ่งๆเหนือโรงไฟฟ้าเพราะต้องการหลีกเลี่ยง exposure ของกัมมันตภาพรังสี เนื่องจากต้องบินเข้าไปหลายๆรอบ และเจ้าหน้าที่ 50 คน ได้เข้าปฏิบัติการภาคพื้นดินอีกครั้ง ต้องเรียกว่าเป็น Faceless 50  เพราะทั้งหมดแต่งชุดป้องกันรังสีไม่สามารถเห็นใบหน้าได้เลย
     เวลา 12.50 (10.50ประเทศไทย) เกิดแผ่นดินไหวความแรง 6.0 ริกเตอร์ ขึ้นอีกบริเวณชิบะในมหาสมุทรแปซิฟิก รู้สึกแรงสั่นสะเทือนเป็นบริเวณกว้างโดยเฉพาะฝั่งตะวันออกของเกาะ ไม่พบความเสียหาย ไม่มีการเตือนเรื่อง tsunami แต่เตือนว่าระดับน้ำทะเลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
     ปริมาณรังสียังมีความสับสนอยู่เพราะสถานะการณ์เปลี่ยนแปลงตลอด ประกอบกับความยากลำบากของการทำงาน ความรุนแรงของรังสีปรับเป็นระดับ 4
     ปริมาณรังสี 1937 ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมง (JAIF Report: 14.30)
     ความเห็นผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ต่ออันตรายจากรังสี>>

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม 2554
     ความเห็นของนักวิชาการด้านเวชศาสตร์นิวเคลียร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จากรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ออกอากาศเมื่อเย็นวันที่ 16 มีนามคม 2554
     ปฏิบัติการวันนี้ เช้าวันนี้ มีรายงานเกี่ยวกับผู้ที่เข้าไปทำงานแก้ไขปัญหาโรงงานไฟฟ้า Fukushima บาดเจ็บ 19 คน ได้รับรังสีมากกว่า 20 คน ศูนย์หาย 2 คน ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นกล่าวว่าพวกเขาเป็นเหมือน "นักสู้ที่ยอมตายในสงคราม" ปริมาณรังสียังอยู่ในระดับสูง ทำให้เจ้าหน้าที่เข้าไปทำการกู้โดยตรงไม่ได้ เพื่อให้ความร้อนลดลง ระดับรังสีลดลง กองกำลังป้องกันตนเอง "Self-Defense Forces" ใช้เฮลิคอปเตอร์บรรทุกน้ำทะเลครั้งละ 7.5 ตันไปโปรยใส่โรงงานไฟฟ้า unit3 อีกครั้ง รวมน้ำที่โปรยลงไป 30 ตัน นักบินแต่ละคนอนุญาตให้ขึ้นบิน 40 นาทีเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยจากรังสี แต่ไม่ได้ผล ไม่ทำให้ปริมาณรังสีลดลง และหยุดปฏิบัติการแล้ว
     หลายประเทศประกาศเตือนประชาชนของตนให้ออกนอกเขตโรงไฟฟ้าให้พ้นรัศมี 80 km
     ปริมาณรังสี 646.2 ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมง (JAIF Report: 11.10)

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2554
     ปรับระดับความรุนแรงขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 5 แล้วอย่างเป็นทางการ เพราะพบว่ามีความเสียหายที่แกนปฏิกรณ์ unit1 ซึ่งเป็นระดับความรุนแรงเทียบเท่าการระเบิดที่เกาะ Three Mile Island ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1979
     ปริมาณรังสี 3,339 ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมง, ที่ระยะ 500 m ตะวันตกเฉียงเหนือของปฏิกรณ์ (TEPCO Report: 2.50 PM)
     click>>


วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2554
     จากข่าว NHK เช้านี้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงระดมฉีดน้ำทะเล ด้วยรถดับเพลิง เข้าไปที่อาคารปฏิกรณ์จำนวน 60 ตัน โดยใช้เวลาปฏิบัติการ 20 นาที และมีแผนในการพยายามที่จะทำให้ความเย็นแก่บ่อเก็บแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้ว ที่อยู่บนอาคาร unit3 เพื่อป้องกันการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีจำนวนมาก
     ปริมาณรังสี 830.8 ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมง, ที่ระยะ 1.1 km ตะวันตกของปฏิกรณ์ unit3 (NHK Report: 8.10 AM)
     เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกระดับความแรง 5.4 ในมหาสมุทรแปซิฟิกห่างเกาะ Honshu ประมาณ 100 km
     นาย Annika Thunborg ซึ่งเป็น Treaty Organization's Chief Press Officer ยืนยันว่า มีการตรวจพบสารกัมมันตรังสีที่ลอยมาจาก Fukushima แล้วที่ California สหรัฐฯ ตั้งแต่วันศุกร์ (ข่าว CNN)

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2554
    รายงานจาก JAIF เมื่อเวลา 10.00 น. (เวลาท้องถิ่น)
    ปริมาณรังสี 2,652 ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมง, North of service building, 7.30 am 
    ปริมาณรังสี 269.5 ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมง, The west gate, 5.40 am
    ตรวจพบ radio nuclides ปนเปื้อนในนมและผักโขมที่บริเวณตำบล Ibaragi
    เวลาท้องถิ่น 17.40 นาย Yukio Edano (Chief Cabinet Secretary) แนะนำให้ทำลายโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ Fukushima ไม่แน่ใจว่ามันจะกลับมาใช้ได้อีก ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่ตัดสินใจและยังไม่มีแผนที่จะปฏิบัติต่อไปอย่างไร
            
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม 2554
รายงานจาก JAIF เมื่อเวลา 16.00 น. (เวลาท้องถิ่น).....
    ปริมาณรังสี 2,105ไมโครซีเวิร์ต/ชั่วโมง, North of service building, 13.00 
รายงานจาก TEPCO.....    
    พบสารกัมมันตรังสีอย่างน้อย 5 ชนิด ซึ่งเป็น byproduct ของปฏิกิริยานิวเคลียร์ บริเวณใกล้กับโรงไฟฟ้า พบ I-131 ในปริมาณ 5.9 mBq/cm3 ซึ่งสูงกว่าระดับที่ยอมรับได้สำหรับผู้ปฏิบัติการที่ไม่สวมหน้ากาก 6 เท่า
     พบสารกัมมันตรังสีในน้ำทะเลห่างออกไปทางใต้ของโรงไฟฟ้า 100 m โดยพบ I-131 ในปริมาณสูงถึง 126.7 เท่าตามที่กฎหมายกำหนด Cs-134 สูงกว่า 24.8 เท่า Cs-137 สูงกว่า 16.5 เท่า และพบ Co-58 ในระดับต่ำ

วันอังคารที่ 22 มีนาคม 2554
    เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น.  IAEA รายงานผลการตรวจวัดปริมาณรังสีในรัศมี 20 km รอบโรงไฟฟ้า Fukushima Daiichi ดังนี้
     เมื่อเวลา 2.55 pm วันอาทิตย์ที่ 20 ปริมาณรังสีที่เมือง Nomei ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 20 km วัดได้ 161 ไมครซีเวิร์ต/ชั่วโมง สูงกว่าค่าที่กำหนดไว้ในธรรมชาติ 1,600 เท่า (กำหนดไว้ 0.1 ไมครซีเวร์ต/ชั่วโมง)
     เวลา 9.47 pm วันอาทิตย์ที่ 20 ปริมาณรังสีที่ตำบล Katsura ห่างออกไป 29 km วัดได้ 11.2 ไมครซีเวิร์ต/ชั่วโมง
    ปริมาณรังสีขึ้นกับกระแสลม ทิศทาง ตำแหน่ง และเวลาที่ทำการวัด

วันพุธที่ 23 มีนาคม 2554
    ตอนบ่าย มีควันดำลอยออกมาจากปฏิกรณ์ unit3 ซึ่งเป็นปฏิกรณ์ที่ใช้ MOX (Plutonium ผสมกับ Uranium กรณีนี้หากแท่งเชื้อเพลิงหลอมละลายจะมีอันตรายมากกว่าการใช้แท่งเชื้อเพลิงที่ทำจาก uranium อย่างเดียว) เป็นเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ มีการเร่งอพยพเจ้าหน้าที่ให้ออกก่อน แต่ระดับปริมาณรังสีรอบๆโรงไฟฟ้าไม่เปลี่ยนแปลงไปจากครั้งก่อนๆ>>
    ที่กรุงโตเกียว ตรวจพบสารกัมมันตรังสีไอโอดีนจากน้ำก๊อกในระดับ 210 Bq/kg สูงกว่าระดับปลอดภัยสำหรับทารก รัฐบาลเตือนประชาชนที่อาศัยในเมืองหลวง ไม่ให้นำน้ำจากก๊อกมาใช้เลี้ยงทารกที่มีอายุต่ำกว่า 12 เดือน และทาง Tokyo Metropolitan Government ได้จัดน้ำสะอาดใส่ขวดแจกจ่ายให้ทารกได้ใช้แล้ว >>

วันศุกร์ที่ 25 มีนามคม 2554
      Japan's Nuclear Safety Agency รายงานว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เตาปฏิกรณ์ unit3 จะมีสารกัมมันตรังสีรั่วไหลออกมา เพราะมีการตรวจพบกัมมันตภาพรังสี 3,900,000 Bq/cm3 ในน้ำที่อยู่บนพื้นของอาคาร unit3 ซึ่งกัมตภาพรังสีระดับนี้สูงกว่าที่วัดได้ในน้ำที่ใช้ในการปฏิบัติงานในสภาพปกติของเตาปฏิกรณ์ถึง 10,000 เท่า ทำให้คนงาน 3 คนที่เข้าไปเชื่อมต่อพลังงานให้ unit3 และเท้าได้ย่ำลงในน้ำที่อยู่บนพื้นสูง 15 cm นาน 40-50 นาที เกิดอาการ "beta burn" ที่เท้าทั้งที่ใส่รองเท้าบูทสูงด้วย และเพื่อกันไว้ก่อนจึงต้องนำตัวพวกเขาส่งโรงพยาบาลทันที เหตุการณ์นี้เกิดตั้งแต่เมื่อวาน
     CNN: Video link>>>
     ปฏิบัติการกอบกู้สถานะการณ์ครั้งนี้ของนักสู้นิรนาม ซึ่งไม่เปิดเผยหน้าตาและชื่อ ทำให้นึกถึงภาระกิจฝึกปฏิบัติการของเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของรัสเซีย K-19 ที่เกิดมีปัญหาที่เตาปฏิกรณ์ ลูกเรือต้องเข้าไปแก้ปัญหาในบริเวณเตาปฏิกรณ์ ทำให้เสียชีวิตหลายคน มีการนำเหตุการณ์นี้มาสร้างเป็นภาพยนต์จำลองเหตุการณ์ที่เกิดในตอนนั้น

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2554
     TEPCO รายงานว่า ที่โรงปฏิกรณ์ unit2 ตรวจพบสารกัมมันตรังสีที่เป็น byproduct ของปฏิกิริยาฟิชชั่นในเตาปฏิกรณ์ในระดับที่สูงมาก ได้แก่ I-134, I-131, Cs-137 โดยวัดกัมมันตภาพรังสีในน้ำ (extremely contaminated water) ที่อยู่ภายในห้องด้านล่างของ Turbine Building ได้ I-134=2,900,000 Bq/cm3, I-131=1,300,000 Bq/cm3, Cs-137=2,300,000 Bq/cm3 ปริมาณรังสีที่สูงมากขนาดนี้อาจเกิดจากแกนของเตาปฏิกรณ์เกิดความเสียหาย

วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2554
     เรื่องใหญ่ พบ plutonium ปนเปื้อนในดินรอบๆโรงไฟฟ้า รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเตือนภัยสูงสุด และสถานะการณ์การแพร่สารกัมมันตรรังสีคาดเดาไม่ได้ ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะจัดการอย่างไรกับการยุติปัญหานี้ น้ำที่ฉีดเข้าไปเพื่อลดความร้อน ไหลย้อนกลับออกมาและปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี การแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีในออกกาศ เหล่านี้จะจัดการอย่างไรยังไม่มีคำตอบ
     ข่าว abc World News >>>
     Prof. Dr. Michio Kaku มีความเห็นว่าน่าจะยกระดับจาก 5 เป็น 6>>>
     มีความวิตกเรื่อง plutonium ที่พบในดิน เพราะมันเป็นสารพิษมีความเป็นพิษค่อนข้างสูง รังสีแอลฟาจาก plutonium มีพลังงานสูงแต่อำนาจทะลุทะลวงต่ำไม่อาจทะลุผิวหนังเข้าไปในร่างกายของเราได้ แต่ถ้ารับประทานหรือสูดดมเข้าไปในร่างกายจะเป็นอันตรายมาก ทั้งพิษและรังสี โดยเฉพาะกระดูกจับ plutonium ได้ดีรังสีแอลฟาจะเป็นอันตรายต่อ bone marrow
     ฟังความเห็นจาก Nuclear Engineer >>>
     ผลของรังสีที่มีต่อร่างกายมนุษย์เรา (Radiation Effect on the Human Body) >>>

วันพุธที่ 30 มีนาคม 2554
    วันนี้ ประธานบริษัท TEPCO นาย Tsuneshisa Katsumata ได้ออกมากล่าวขอโทษสำหรับความยุ่งยากและความเดือดร้อนที่เกิดจากรังสีรั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima Daiichi และกำลังเตรียมการชดเชยตามกฎหมายจากความเสียหายที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันเขากล่าวว่าจะเป็นการดีที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima Daiichi unit 1-4 จะต้องปิดตัวไป

     IAEA บอกว่า โรงไฟฟ้า Fukushima ยังคงมีอันตรายมาก >>

สรุปการแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสีรอบๆโรงไฟฟ้า


วันพฤหัสที่ 31 มีนาคม 2554
     มีการวิเคราะห์กันว่า หากหยุดใช้งานโรงไฟฟ้าตอนนี้จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ $12,000 M ในช่วงระยะเวลา 30 ปีนับจากนี้ เปรียบเทียบกับ กรณีเกาะ Three Mile เสียค่าใช้จ่าย $973M ใช้เวลา 12 ปี ขณะที่ Chernobyl เสียค่าใช้จ่าย $2,200M
     มีข่าวว่า ภายในสัปดาห์จากนี้อาจมีนักสู้นิรนามเสียชีวิตเพราะรังสีจากปฏิบัติการกู้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (ข่าวจาก Foxnews>>1) (ข่าวจาก Foxnews >>2)
     คนญี่ปุ่นเริ่มประท้วงบริษัท TEPCO แล้ว >>
     มีรายงานจากโทรทัศน์ NHK ว่า ผู้ปฏิบัติงานในบริเวณโรงไฟฟ้าขณะนี้ ไม่มี Personal Radiation Dosimeter>> ซึ่งต่อมา TEPCO ได้อธิบายเรื่องนี้ว่ามี Dosimeter ไม่เพียงพอเพราะเกิด Tsunami ทำให้เสียหายแต่ผู้ที่เข้าไปในจุดเสี่ยงจะต้องติดทุกคน >>

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2554
     คนญี่ปุ่นกำลังโกรธ TEPCO >> เพิ่มขึ้นทุกที

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2554
    คนญี่ปุ่นประท้วง TEPCO ที่โตเกียว และเรียกร้องรัฐบาลให้หยุดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมด >>

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2554
     TEPCO ระบายน้ำปนเปื้อนรังสี 11,500 ตัน ลงทะเลแล้วเพื่อให้มีที่ว่างพอที่จะเก็บน้ำที่ปนเปื้อนรังสีมากๆจากปฏิกรณ์ Unit2 น้ำที่ระบายทิ้งมี I-131 สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด 100 เท่า แผนปฏิบัตินี้ได้รับการรับรองจากรัฐบาลญี่ปุ่น CNN >>
     NTD Television >>,  RT รัสเซีย >>,  NHK >>
     ญี่ปุ่นรายงานสถานะการณ์ต่อ IAEA "สถานะการณ์ที่ Fukushima Daiichi Plant ยังคงตึงเครียดอย่างมาก" >>

วันอังคารที่ 5 เมษายน 2554
    TEPCO รายงานว่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ตรวจพบ I-131 ในน้ำทะเลบริเวณใกล้กับโรงไฟฟ้า มีปริมาณสูงถึง 300,000 Bq/cm3 หรือ 7.5 ล้านเท่าของปริมาณที่กฎหมายกำหนด และในเช้าวันจันทร์ลดลงเหลือ 200,000 Bq/cm3 หรือ 5 ล้านเท่าของปริมาณที่กฎหมายกำหนด และพบ Cs-137 ในปริมาณ 1.1 ล้านเท่าของปริมาณที่กฎหมายกำหนด เชื่อว่าสารเหล่านี้รั่วออกมาจากแท่งเชื้อเพลิง>>
     คนญี่ปุ่นมีความกังวลที่จะรับประทานปลา>>

วันพุธที่ 6 เมษายน 2554
     หวาดเสียว TEPCO รายงานว่า เป็นไปได้ที่มีแก๊สไฮโดรเจนเกิดขึ้นใน Containment vessel ของเตาปฏิกรณ์ unit1 จึงต้องเติมไนโตรเจนเหลวเข้าไปเพื่อไม่ให้แกนของปฏิกรณ์ระเบิด>>
     TEPCO ว่าวิธีที่เติมสารเคมีพิเศษเพื่ออุดรอยแยก ที่ทำให้น้ำปนเปื้อนรังสีรั่วออกสู่ทะเลได้ผล ทำให้รอยแยกหยุดรั่วแล้ว>>

วันพฤหัสที่ 7 เมษายน 2554
     เมื่อเวลา 21.32 น (เวลาในกรุงเทพฯ) เกิดแผ่นดินไหว (after shock) อีกความแรงขนาด 7.4 ศูนย์กลางอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกห่างจากเมือง Sendai 66 km ห่างจาก Fukushima 118 km คนงานที่โรงไฟฟ้า Fukushima ถูกสั่งให้ออกจากพื้นที่โดยด่วน ยังไม่มีรายงานความเสียหายเพิ่มเติม>>

วันที่ศุกร์ที่ 8 เมษายน 2554
     ผลกระทบจากแผ่นดินไหวเมื่อวันพฤหัส พบว่า มีคนเสียชีวิต 4 คนบาดเจ็บกว่าร้อยคน และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ Onagawa ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือห่างจากโรงไฟฟ้า Fukushima ประมาณ 100 km ได้รับผลกระทบหยุดทำงานและมีน้ำปนเปื้อนรังสีจำนวนหนึ่งนองที่พื้นห้องของโรงไฟฟ้า >> ไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างนานกว่า 24 ชั่วโมงมีผลต่อประชาชนกว่า 3 ล้านครัวเรือน แต่ไฟฟ้าสำรองฉุกเฉินของโรงไฟฟ้า Onagawa ทำงานได้ตามปกติ ระบบหล่อเย็นจึงไม่เกิดปัญหา ส่วนโรงไฟฟ้า Fukushima สถานะการณ์คงเดิม

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน 2554
     เป็นครั้งแรกที่ TEPCO เผยแพร่ภาพขณะที่คลื่น Tsunami สูง 15 m โจมตีโรงไฟฟ้า Fukushima เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 >>

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2554
     ครบรอบหนึ่งเดือนการเกิดแผ่นไหวรุนแรง ปรากฏว่าเกิดแผ่นดินไหว after shock แรงมากอีกครั้งขนาด 7.0 เมื่อเวลา 17.16 ตามเวลาท้องถิ่น ศูนย์กลางอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ Honshu ต่อมามีการปรับลดระดับเหลือ 6.6 อย่างไรก็ตาม มีการยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิต 4 คน >>
     มีการลำเลียงเครื่องปั๊มคอนกรีกยักษ์ใหญ่ Concrete Pump (Putzmeister) อย่างน้อย 5 เครื่อง จากอเมริกาและเยอรมัน ไปยังโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima เพื่อปั๊มน้ำหล่อเย็นให้โรงไฟฟ้า แต่หากจำเป็นก็สามารถเปลี่ยนเป็นปั๊มคอนกรีกได้ >>
     Putzmeister Clip1>>      Putzmeister Clip2>>

วันอังคารที่ 12 เมษายน 2554
     ด่วน หน่วยงานด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์ของรัฐบาลญี่ปุ่น ตัดสินใจยกระดับวิกฤตินิวเคลียร์ที่ Fukushima Daiichi จากระดับ 5 เป็นระดับ 7 สูงที่สุดเท่า Chernobyl แล้ว >>
     [ดูรายละเอียดของระดับความรุนแรง... IAEA Scale ระดับความรุนแรงของสถานะการณ์นิวเคลียร์]
     ประธานบริษัท TEPCO กล่าวขอโทษที่สร้างความยุ่งยากให้ประชาชนและสาธารณชนทั่วไป หลังจากที่ทางการยกระดับวิกฤตินิวเคลียร์ Fukushima ขึ้นเป็นระดับ 7 สูงสุด >> 
     รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่า ในช่วงเวลา 25 วันที่ผ่านมาหลังเกิดเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ได้ทำการวัดปริมาณรังสีรอบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima จำนวน 53 แห่งในรัศมี 60 km พบว่าที่เมือง Namie ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโรงไฟฟ้า ห่างออกไป 24 km สามารถวัดปริมาณรังสีสะสมได้ถึง 34 milliseverts หรือเท่ากับประมาณ 314 milliseverts/yr ซึ่งสูงกว่าระดับที่ยอมรับได้ 3 เท่า >>

วันพุธที่ 13 เมษายน 2554
     กระทรวงวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นแจ้งว่า ตรวจพบ Strontium-90 (ครึ่งชีวิตประมาณ 29 ปี) ในดินและพืชในปริมาณน้อย (3.3-32 Bq/kg ของตัวอย่างดิน) จาก 3 แห่งในเมือง Namie และหมู่บ้าน Litate ซึ่งอยู่บริเวณรอบๆโรงไฟฟ้าห่างออกไป 30 km และตรวจพบในปริมาณที่น้อยมากๆในอีกหลายเมืองที่ห่างออกไป 40-80 km Strontium-90 จะสะสมในกระดูกและทำให้เกิดมะเร็ง การยืนยันว่าตรวจพบ Strontium-90 แสดงให้เห็นว่า เชื้อเพลิงในเตาปฏิกรณ์และแท่งเชื้อเพลิงใช้แล้วที่แช่ในบ่อเก็บเกิดความเสียหายแล้ว >>

วันพฤหัสที่ 14 เมษายน 2554
     TEPCO รายงานว่า ปริมาณรังสีในน้ำทะเลลดลงตามลำดับแต่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง >>

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2554
     TEPCO รายงานว่า ได้ใช้หุ่นยนต์บังคับจากระยะไกล เข้าไปในชั้นที่ 1 ของอาคารเตาปฏิกรณ์ unit1 และ unit3 เมื่อวันอาทิตย์ เพื่อวัดอุณหภูมิ ความหนาแน่นของก๊าซออกซิเจน และระดับปริมาณรังสี พบว่า
     ในอาคาร unit1 มีระดับรังสี 10-49 mSv/h, ความหนาแน่นของออกซิเจน 21% 
     ในอาคาร unit3 มีระดับรังสี 28-57 mSv/h, ความหนาแน่นของออกซิเจน 21%  
     สภาพเช่นนี้มีออกซิเจนพอและระดับรังสีทำให้คนงานสามารถเข้าไปทำงานได้ประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น >>
     นอกจากนี้ TEPCO ยังได้รายงานเรื่อง road map สำหรับการแก้วิกฤติครั้งนี้ว่าจะใช้เวลา 6-9 เดือน
     ช่วงแรก ใช้เวลา 3 เดือนในการทำให้ปฏิกรณ์ unit1,3 เย็นตัวลงไปอยู่ในสถานะเสถียรโดยการใช้น้ำฉีดเข้าไปที่ containment vessel และทำการบำบัดน้ำปนเปื้อนรังสีแล้วนำกลับเข้าไปในเตาปฏิกรณ์อีกเพื่อให้ความร้อนลดลง
     ช่วงที่สอง มีแผนการที่จะลดอุณหภูมิของแท่งเชื้อเพลิงลงมาให้ต่ำกว่า 100 C และใช้วัสดุบางอย่างขนาดใหญ่คลุมอาคารเตาปฏิกรณ์เพื่อไม่ให้สารกัมมันตรังสีแพร่กระจายออกไปสู่อากาศ >>

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2554 
     วันนี้ครบรอบ 6 เดือนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น




4.) ทางออกของเรื่องนี้
     ฝังมันซะ...ศาสตราจารย์ Michio Kaku นักฟิสิกส์ทฤษฎี (Theoretical Physicist) ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น จาก The City College of New York (CCNY) ผู้มีผลงานวิจัยเรื่อง String Theory ที่โด่งดังและเป็นผู้เขียนหนังสือฟิสิกส์ (เช่น Hyperspace, Physics of Invisibility, Physics of the Future ฯลฯ) ที่จัดเป็น The Best Seller ของ New York Times เป็นคนแรกๆที่เสนอให้ใช้ "Chernobyl Option" ตั้งแต่ 2-3 วันแรกที่เกิดเหตุการณ์ เพื่อจัดการกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima ให้เด็ดขาดไปเลย
     abc News (17 มีนาคม 2554)>>
     CNN (21 มีนาคม 2554) >>

FOX News (22 มีนาคม 2554)


   
5.) ผลกระทบด้านจิตวิทยาสังคมต่อคนไทย>>click

    เพื่อให้เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Fukushima ตั้งแต่เริ่มเกิดแผ่นดินไหวความแรง 9.0 ริกเตอร์ เมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 สถานี NHK ได้เสนอเรื่องราวสรุปเข้าใจง่าย click>>

7.) สภาพเขตห้ามเข้าอยู่อาศัยรอบโรงไฟฟ้า Fukushima
     ในรัศมี 20 km จากโรงไฟฟ้า Fukushima เป็นเขตที่กำหนดให้ประชาชนต้องอพยพออกไปอยู่ในเขตที่ปลอดภัย และในรัศมี 20-30 km หากต้องการอยู่จะต้องอยู่แต่ในบ้านที่ปิดมิดชิด แต่ก็มีช่างภาพสมัครเล่นได้ตลุยเข้าไปในเขตอันตราย เพื่อสำรวจสภาพของเขตห้ามเข้าอยู่อาศัยรอบโรงไฟฟ้า โดยไม่ใยดีกับปริมาณรังสีที่ตัวเองได้รับ เพื่อให้เราได้เห็นสภาพว่าเป็นเช่นไร ขอขอบคุณอย่างสูง
     clip1>>               clip2>>


8.) การเฝ้าระวังการแพร่กระจายรังสีและผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อนานาประเทศ
13 มีนาคม 2554
     วิเคราะห์การแพร่กระจายของสารกัมมันตรังสี >>
17 มีนาคม 2554
     คนต่างชาติจำนวนมากอพยพออกจาญี่ปุ่น >>
18 มีนาคม 2554
     คนไทยตื่นใช้เบตาดีนกันรังสี >>
     คนจีนตื่นกักตุนเกลือเพื่อใช้ป้องกันรังสี >>
19 มีนาคม 2554
     เมืองชายฝั่งตะวันตกของ US กังวลรังสีที่มาถึงแล้ว >>
22 มีนาคม 2554
     ประชาชนในประเทศจีนยังเข้าคิวซื้อเกลือเพื่อใช้ป้องกันรังสี >>
23 มีนาคม 2554
     ชาวประมงญี่ปุ่นกลัวรังสีในทะเล>>
     คนญี่ปุ่นกังวลอาหารปนเปื้อนรังสี >>
24 มีนาคม 2554
     ออสเตรเลียจำกัดการนำเข้าอาหารจากญี่ปุ่น >>
     ฮ่องกง ban นมและผักนำเข้าจากญี่ปุ่น >>
26 มีนาคม 2554
     การเดินขบวนต่อต้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 120,000 คน ในเยอรมัน >>
29 มีนาคม 2554
     ไทยยกระดับตรวจเข้มอาหารนำเข้าจากญี่ปุ่น >>
30 มีนาคม 2554
     ตรวจจับการแพร่ในอากาศ USA>>
     RadSticker Dosimeter (FOX nEWS)>>
     RadSticker Dosimeter >>
     ชาวบ้านญี่ปุ่นที่อพยพออกจากเขต 20 km กังวลว่าจะไม่ได้กลับบ้าน >>
     การบรรยายที่ Iowa State University >>
5 เมษายน 2554
     EU ให้ตรวจหารังสีปนเปื้อนในอาหารทุกชนิดที่สั่งมาจากญี่ปุ่น >>
6 เมษายน 2554
     ปลาปนเปื้อนรังสีถึงอเมริกาแล้ว >>
8 เมษายน 2554
     จีนกังวลเรื่องน้ำปนเปื้อนรังสีที่ TEPCO ปล่อยลงทะเล >>
     จีนตรวจพบ I-131 ในอากาศ >>
     เกาหลีใต้ประท้วงญี่ปุ่นที่ปล่อยน้ำปนเปื้อนรังสีสู่ทะเล >>
     การอภิปรายจัดโดย CSIS บทเรียนที่ได้เพื่อมองไปข้างหน้า>>(1.42 ชั่วโมง)
9 เมษายน 2554

9.) Link ที่น่าส่นใจ

Local Time,Tokyo, JAPAN
Local Time, Bangkok, THAILAND

    วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

    กำเนิดรังสีเทคนิค สปป.ลาว



    (1,038 ครั้ง) 
    เมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาช่วงปลายปี 2548 ผมได้มีโอกาสเดินทางไปที่ College of Health Technology (CHT) ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อสอนนักศึกษารังสีเทคนิคของลาวรุ่นที่ 1 ในระหว่างเดือน ธันวาคม 2548 ถึงเดือนมกราคม 2549 รวมระยะเวลาประมาณ 6 สัปดาห์ เป็นโครงการที่องค์การอนามัยโลกให้การสนับสนุน แม้จะนานแล้วร่วม 5 ปี แต่มีเกล็ดเล็กๆน้อยๆน่าสนใจจะมาเล่าให้ฟังครับ ซึ่งผมตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ให้เป็นแบบ Story Telling มานานแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสครับ

    ขอย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 7 ปีก่อน ประมาณปี 2546 องค์การอนามัยโลก WHO ได้เชิญ อาจารย์ชวลิต วงษ์เอก ให้ไปช่วยสำรวจข้อมูลที่ประเทศลาว และช่วยทำหลักสูตรรังสีเทคนิคให้ อาจารย์ชวลิตเล่าให้ฟังว่า ต้องเดินทางไปตามแขวงต่างๆ เดินทางจากเวียงจันทร์ระยะทางไม่ไกลมาก แต่ถนนหนทางไม่ดี ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์นานมาก จึงต้องไปนอนค้างในแขวงที่จะสำรวจ โดยใช้เวียงจันทร์เป็นฐาน  ลำบากพอประมาณ ลาวปกครองเป็นแขวง มีทั้งหมด 18 แขวง ประชากรทั้งประเทศประมาณ 6 ล้านคน มีโรงพยาบาลใหญ่ของรัฐบาลประมาณ ไม่ถึง 30 แห่ง ดังนั้นจำนวนนักรังสีเทคนิคที่ต้องการจึงไม่มากนัก หากจะสร้างนักรังสีเทคนิค ก็แค่ส่งนักศึกษามาเรียนที่ประเทศไทย ตามจำนวนที่ต้องการก็น่าจะดี อาจจะลงทุนไม่ต้องสูง เพราะประเทศไทยมีความพร้อม ทั้งเครื่องมือและอาจารย์ แต่รัฐบาลลาวต้องการให้มีการสอนในประเทศลาว จึงต้องมีการทำหลักสูตรให้เหมาะสมขึ้นในลาว เหตุการณ์นี้น่าจะคล้ายกับเมื่อ พ.ศ. 2505 ที่ WHO ส่ง Mr Ward จากประเทศอังกฤษมาสำรวจเมืองไทย และช่วยทำหลักสูตรรังสีเทคนิคของไทย ซึ่งผู้ที่มีบทบาทสำคัญคือ นายแพทย์สุพจน์ อ่างแก้ว และก็เกิดเป็นรังสีเทคนิคไทยขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น กลับมาที่ลาวครับ อาจารย์ชวลิตเทียวไปเทียวมาประเทศลาวอยู่หลายครั้ง เพื่อสำรวจข้อมูลทางรังสีของลาวและทำหลักสูตรรังสีเทคนิค ที่ผมทราบเพราะ อาจารย์ชวลิตเป็นหัวหน้าภาควิชารังสีเทคนิค มหิดล เมื่ออาจารย์ชวลิตไปลาว ผมซึ่งเป็นรองหัวหน้าภาคฯ ก็ต้องรักษาราชการแทน จึงพอทราบเรื่องนี้ดี ต้องถือว่าอาจารย์ชวลิตเป็นผู้มีบทบาทที่สำคัญมาก ในการก่อกำเนิดรังสีเทคนิคในลาว

    เมื่อหลักสูตรรังสีเทคนิคเริ่มใช้ในลาวพ.ศ. 2548 ตอนปลาย องค์การอนามัยโลกให้การสนับสนุนเงินทุน โดยที่ประเทศลาวได้จัดให้มีการเรียนการสอนที่ College of Health Technology (CHT) ปัญหาใหญ่ของ CHT คือ ขาดแคลนอาจารย์ผู้สอน CHT จึงจำเป็นต้องเชิญอาจารย์จากประเทศไทยไปช่วยสอน อาจารย์ชวลิต อาจารย์นภาพงษ์ และผม จึงต้องรับเชิญไปช่วยสอน
    เจดีย์กลางเวียงจันทร์ มองจากหน้า CHT
    เป็นความบังเอิญที่ผมต้องไปสอนที่ลาวเป็นคนแรก เกิดเรื่องตลกร้ายๆแบบหวาดเสียว คือที่ผมต้องไปสอนเป็นคนแรกเพราะอุบัติเหตุจริงๆ แต่ไม่ได้เกิดกับผมนะ มันเกิดกับอาจารย์ชวลิต จริงๆแล้วอาจารย์ชวลิตต้องไปสอนก่อนคนแรก ในฐานะครูใหญ่ของเรา (ขอเรียกแบบนี้แล้วกัน) แต่ไปไม่ได้ เพราะคืนก่อนเดินทางเกิดฝนตกหนัก ไฟฟ้าที่บ้านอาจารย์ชวลิตดับ ทำให้ถูกแมงป่องต่อยที่เท้าจนบวมมากเดินไม่ได้ อาจารย์ชวลิตจึงไม่สามารถเดินทางไปสอนได้ ก็เลยต้องปรับแผนกันใหม่ ผมเลยต้องไปเป็นคนแรกแบบไม่ได้เตรียมตัวเลย ดีแต่ว่ามีหนังสือเดินทางอยู่แล้ว จึงเดินทางได้เลย วีซ่าไม่ต้อง และยิ่งเป็นหนังสือเดินทางราชการด้วยแล้ว สามารถผ่านพิธีการเข้าเมืองที่สนามบินนานาชาติวัดไต ที่เวียนจันทร์ได้แบบไม่ยุ่งยากมากนัก เงินไทยใช้ในลาวได้เลยไม่ต้องแลกเป็นเงินกีบแล้วหอบไปจากประเทศไทย

    CHT
    ผมเดินทางจากสนามบินดอนเมืองตอนชาวตรู่ถึงสนามบินนานาชาติวัดไต (ขนาดสนามบินวัดไต รวมอาคารผู้โดยสาร ตอนนั้นน่าจะใกล้เคียงกับสนามบินขอนแก่นตอนนี้) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที อาจารย์อำไพเวียงไปรับที่สนามบินนานาชาติวัดไต พาไปส่งที่โรงแรม แล้วเริ่มงานที่ CHT ทันที ได้พบ ดร.ตาน้อย ผู้อำนวยการ CHTอาจารย์อำไพเวียง และอาจารย์เพชรลาวัลย์ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ดูแลโปรแกรมรังสีเทคนิค ดร.ตาน้อย ทำพิธีผูกข้อมือให้ผมเพื่อความเป็นศิริมงคล ทีแรกผมก็ตื่นเต้นและนึกในใจว่า ลาวมีพิธีต้อนรับแขกจากแดนไกลที่น่าประทับใจมาก จากนั้น ดร.ตาน้อยกล่าวต้อนรับด้วยความยินดีที่ประเทศไทยส่งผมมาให้ความช่วยเหลือ นอกจากนี้ท่านยังบอกว่า ที่ผูกข้อมือให้ผมนั้นเพราะผมมาได้จังหวะพอดีที่ CHT ทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเพื่อปัดเป่ามารร้ายที่มาเอาชีวิตนักศึกษาของ CHT คือช่วงก่อนที่ผมจะไปถึงไม่กี่สัปดาห์ มีนักศึกษาของ CHT เสียชีวิตบ่อยมาก ก็เลยได้รู้ความลับในตอนนั้น สำหรับที่ทำการของโปรแกรมรังสีเทคนิค อยู่ชั้นสองของ CHT ห้องไม่ใหญ่มาก เป็นห้องที่ไม่ติดเครื่องปรับอากาศ สะอาด พื้นปูด้วยเสื้อน้ำมัน มีโต๊ะทำงานประมาณ 5 ตัว เขาจัดให้ผมนั่ง 1 ตัว มีเครื่องพิมพ์ส่วนกลาง แต่ไม่สามารถเข้า Internet ได้ เรียกว่าไม่มี Internet ก็ได้ ส่วนของห้องเรียน เป็นห้องขนาดเล็ก นั่งเรียน 18 คนก็ดูแคบแล้ว ภายในห้องเรียนติดเครื่องปรับอากาศ มีเครื่อง Projector สามารถต่อกับ Notebook ฉายได้เลย มีกระดาน White Board ขนาดไม่ใหญ่มาก ทุกอย่างดูลงตัวดีครับสำหรับนักศึกษาจำนวนแค่ 18 คน ที่ CHT ใช้เป็นที่สอนแบบบรรยาย เมื่อต้องสอนภาคปฏิบัติเราไปเรียนกันที่โรงพยาบาลมโหสต
    ท้ายรถตู้คือโรงแรมไทปัน

    อากาศที่เวียงจันทร์ดีมากเพราะกำลังอยู่ในหน้าหนาว แต่ฝุ่นตามถนนเยอะไปหน่อย รถลาไม่ค่อยมากเหมือนกรุงเทพฯ มอเตอร์ไซด์ค่อนข้างเยอะ และขับเรียบร้อยมาก ขับช้า ได้ยินว่ากฎหมายจราจรแรงมาก ตอนแรกไม่มีข้อมูลแนะนำเลย ผมจึงเลือกพักที่โรงแรมไทปัน แพงเหมือนกันคืนละ 50 เหรียญ US (ร่วม 2,000 บาท) โรงแรมไทปันที่ผมไปพัก ห่างจาก CHT พอสมควร ถ้าเดินจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ซึ่งผมเดินไปสอนทุกวัน ต่อมาเปลี่ยนไปพักโรงแรมล้านช้าง คิดคืนละ 28 เหรียญ US และอยู่ใกล้ CHT มากกว่าโรงแรมไทปัน ที่นี่อาหารเช้ายอดเยี่ยมมาก มีอาหารญี่ปุ่นด้วย จากห้องพักมองเห็นบรรยากาศแม่น้ำโขงอย่างชัดแจ๋ว ดีขึ้นเยอะเลยครับ ในห้องพักของโรงแรมทั้งสองที่มีโทรทัศน์ให้ดู มีช่องของลาว 2 ช่อง ไม่ค่อยมีรายการที่ผมชอบ ส่วนใหญ่ก็เลยดูแต่ช่องของไทย ซึ่งรับสัญญาณได้ชัดเจนมาก คุยกับอาจารย์ที่ CHT ท่านก็บอกว่า คนลาวที่เวียงจันทร์ดูแต่โทรทัศน์ไทย เพราะมีรายการที่ attractive กว่าเยอะ และคนลาวไม่มีปัญหาเรื่องการฟังภาษาไทย แต่ผมมีปัญหาการฟังภาษาลาวมากในช่วงแรกๆ เช่น ความเร็วก็พูดว่าความไว เครื่องเอกซเรย์ก็พูดว่าเครื่องจักรเอกซเรย์ Infinity ซึ่งแปลว่าอนันต์ก็พูดว่าอสงไขย เป็นต้น

    โรงพยาบาลมโหสต ที่เรียนภาคปฏิบัติ

    ข้อมูลทั่วไปของนักศึกษาลาวคือ รุ่นนี้หรือรุ่นแรกมี 18 คนถูกคัดเลือกมาจาก 18 แขวง เพราะลาวแบ่งการปกครองเป็นแขวง แต่มาไม่ครบทุกแขวง เพราะแขวงนครหลวงหรือเวียงจันทร์แขวงเดียวมา 6 คน เลยกินที่นั่งเรียนของแขวงอื่นไป (เหมือนๆประเทศไทยไหมหนอ??) วิธีการคัดเลือกผมไม่ทราบว่ามีเกณฑ์อย่างไร แต่เท่าที่คุยกับนักศึกษาก็บอกตรงกันว่าถูกส่งมา มีผู้ชาย 16 คนและผู้หญิง 2 คน ทุกคนไม่เคยเรียนรังสีเทคนิคมาก่อน แต่ทำงานรังสีเทคนิคมาแล้ว มีอายุสูงสุด 48 ปี อายุน้อยสุดผมจำไม่ได้แต่ดูเหมือนจะเกิน 30 ปีเล็กน้อย เนื่องจากวิทยาลัยฯหรือ CHT อยู่ที่เวียงจันทร์ ดังนั้นทุกคนที่มาจากแขวงอื่นก็ต้องมาเช่าบ้านพัก เรียน 3 ปี จบแล้วได้ diploma กลับไปทำงานก็จะได้ปรับเงินเดือนเพิ่ม 2 ขั้น หรือประมาณ 3,000 กีบต่อเดือน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 8-10 บาท เวลานั้นนักศึกษาเหล่านี้ก่อนส่งมาเรียนจะมีเงินเดือนคิดเป็นเงินไทยเดือนละประมาณ 1,800 บาท อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงได้เห็น รอยยิ้มและแววตาที่มีความสุขของนักศึกษาเหล่านี้


    นักศึกษาตั้งใจเรียนดีมาก และมีสัมมาคาระดีเหลือเกิน นักศึกษาของ CHT ผู้ชายแต่งตัวเรียบร้อยเหมือนไทยไม่มีสัญลักษณ์อะไรที่บ่งบอกว่าเป็นนักศึกษา ส่วนผู้หญิงแต่งตัวเรียบร้อยมาก นุ่งผ้าสิ่นสวยงาม (คนทั่วไปมากกว่า 90% แต่งตัวแบบนี้) คาดเอวด้วยเข็มขัดโลหะ บางคนมีฐานะหน่อยก็ใช้เข็มขัดนาค เงิน แต่ผมมองไม่เห็นมีใครคาดเข็มขัดทองครับ สวมเสื้อสีขาว จะมีเรียน 6 หลักสูตรทั้งภาคกลางวันและภาคค่ำประมาณ 1,000 คน ที่จำได้มี รังสีเทคนิค เทคนิคการแพทย์ พยาบาล เภสัชฯ ฯลฯ นักศึกษาทุกคนเมื่อเห็นผมเดินเข้าไปใน CHT จะยกมือไหว้ทำความเคารพ ไม่เลือกว่าหลักสูตรไหน น่ารักมาก สำหรับนักศึกษารังสีเทคนิค 18 คนนั้นพื้นฐานไม่ค่อยดีเลย ดังนั้นที่ผมเตรียมไปสอน Radiation Physics, QC แบบที่คิดว่าจัดเฉพาะนักศึกษาลาวแล้ว น่าจะเหมาะสมแล้ว ยังต้องปรับใหม่หมดอย่างปัจจุบันทันด่วน เวลาสอนก็เข้าถึงตัวทุกคน และให้ทำแบบฝึกหัดมากขึ้น บางคนพอผมสอนไปมากๆก็ต้องขอพัก ออกอาการยิ้มและหัวเราะแบบแปลกๆแล้วพูดตลกๆว่า "อะตอมของข่อยซิแตกแล้วเด๊อครับอาจารย์" นักศึกษาทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันคือ สิ่งที่ได้เรียนนี้พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย และคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องให้เรียนมากมายขนาดนี้ ทั้งที่มันเป็นแค่กดปุ่มถ่ายภาพเอกซเรย์ผู้ป่วยเท่านั้น และพวกเขาก็ทำมาแล้ว มันไม่น่าจะมีอะไรให้ได้เรียนมากมายนัก ผมเลยได้โอกาสทำความเข้าใจกับนักศึกษาลาว ให้พวกเขามองเห็นชัดยิ่งขึ้นว่า การได้เรียนรู้อย่างเป็นระบบตั้งแต่ระดับพื้นฐานขึ้นไปนั้น ในที่สุดจะทำให้เราสามารถทำอะไรได้มากขึ้น ถูกต้อง และมั่นใจมากขึ้น ผมสอนภาคทฤษฎีที่ CHT และสอนภาคปฏิบัติการควบคุมคุณภาพของเครื่องเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลมโหสถ โรงพยาบาลใหญ่ที่สุดในเวียงจันทร์และมี CT ด้วย ได้มีโอกาสพบคุณหมอโอรถ ซึ่งเป็นรังสีแพทย์ที่นั่น ท่านอำนวยความสะดวกเต็มที่ แต่มีโอกาสคุยกันได้ไม่นาน

    อ.ชวลิต-ดร.ตาน้อย-อ.เพชรลาวัลย์

    การไปคราวนี้ เราได้มอบหนังสือและชุดอุปกรณ์การควบคุมคุณภาพของเครื่องเอกซเรย์ซึ่งเขียนและทำเองโดยอาจารย์รังสีเทคนิคมหิดลให้กับ CHT หนังสือได้แก่ หนังสือการควบคุมคุณภาพของกระบวนการถ่ายภาพเอกซเรย์ และเอกซเรย์คอมพิวเต็ดโทโมกราฟฟี่ ชุดตรวจสอบคุณภาพของเครื่องเอกซเรย์ได้แก่ Exposure time, Beam alignment, Collimator alignment, mAs reciprocity, Screen-film contact, และ Grid alignment 
    วันแรกๆ มีนักศึกษาลาวคนหนึ่ง จำชื่อไม่ได้แล้วครับ แต่ถ้าเป็นผู้ชายส่วนมากชื่อจะขึ้นต้นด้วยท้าว พาผมไปแนะนำจนทั่ว CHT และพาไปรับประทานอาหารกลางวันที่โรงอาหาร ของกระทรวงศึกษาธิการของลาว ซึ่งอยู่ใกล้กับ CHT อาหารเป็นข้าวราดแกงแบบบ้านเรา เน้นผัก อร่อยมาก ถูกปากทุกอย่าง ราคาจานละ 5,000-7,000 กีบ (20-25 บาท) พอวันต่อๆไปนักศึกษาคนนั้นหายหน้าไปเลย มารู้ทีหลังคือ นักศึกษาส่วนใหญ่เตรียมอาหารกลางวันมาจากบ้าน มักเป็นข้าวเหนียว จิ้มกับแจ่ว พอพักเที่ยงก็นั่งล้อมวงกันหน้าห้องเรียนกินกันอร่อยเลย ผมถามว่าทำไมไม่ไปซื้ออาหารที่โรงอาหารรับประทาน คำตอบคือ "มันแพงเจ้า"
    วันหนึ่ง ผู้อำนวยการ CHT ดร.ตาน้อย พาผมไปเลี้ยงอาหารกลางวันเป็นการต้อนรับ อาจารย์และเจ้าหน้าที่ของ CHT ไปกันร่วม 10 คน ในใจผมคิดว่า วันนี้คงได้ลิ้มรสอาหารลาวชุดใหญ่แน่ๆ ปรากฏว่า ดร.ตาน้อย พาไปรับประทาน เฝอ ครับ มันคือก๋วยเตี๋ยวนี่เอง เหมือนที่เมืองไทยบ้านเรา ที่ลาวชุดละ 60 บาท เป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ประกอบด้วย ก๋วยเตี๋ยวน้ำ 1 ชาม เนื้อเปื่อย 1 จานไม่มีน้ำซุบ หั่นเป็นชิ้นแบบลูกเต๋าขนาดพอดีหนึ่งคำ ผักสด 1 กะละมังใหญ่ๆ มีผักสารพัดอย่างครับ มื้อนี้สุดยอดจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่มีคนมารับประทานแน่นร้าน คนลาวนิยมกินผักครับ จึงไม่ค่อยได้เห็นคนลาวอ้วนแบบหลายคนในเมืองไทยของเรา โดยเฉพาะคนใกล้ตัวที่ทำงาน
    อีกตอนหนึ่งสำคัญมากไม่เล่าไมได้ คือ เวลาเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะ หรือทำธุระส่วนตัวที่ CHT เป็นช่วงเวลาที่ลุ้นที่สุดสำหรับผม เพราะห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม คือทั้งนักศึกษาหญิง-ชายใช้ห้องเดียวกัน คงเพราะต้องการประหยัดหรืองบประมาณไม่พอก็ไม่ทราบได้ครับ บางครั้งผมกำลังยืนปัสสาวะที่โถ ได้ยินเสียงมีคนเดินเข้ามาด้านหลัง หันไปมองปรากฏว่าเป็นนักศึกษาหญิงหน้าตาดี ไม่ใช่นักศึกษารังสีเทคนิค ซึ่งแกก็ทำธุระของแกไปไม่สนใจว่าจะมีใครอยู่บ้าง แล้วยังหันมายิ้มให้เราแบบอมยิ้มอีก กว่าที่ผมจะชินระบบนี้ก็ใช้เวลาอยู่หลายวันครับ แต่ที่โรงแรมทั้งสองที่ ที่ผมไปพัก ห้องน้ำแยกชาย-หญิง ไม่รวมกัน...เฮ้อ
    ดวงอาทิตย์กำลังตกฝั่งหนองคาย

         ตอนเย็นเกือบทุกวัน ผมใช้เวลาไปเดินเล่นริมแม่น้ำโขง จากหน้าโรงแรม เดินไปเรื่อยๆ อากาศเย็นครับประมาณ 17 องศา (ตอนเช้าประมาณ 8-9 องศา) ได้เห็นผู้คนทุกเพศ ทุกวัย ออกมาเดินเล่นคึกคัก บ้างก็เต้นแอโรบิค บางคนเล่นเครื่องบินบังคับด้วยวิทยุ ให้มันบินไปกลางแม่น้ำโขง แล้วบังคับผาดโผนกลับมาที่ฝั่ง ผู้คนเชียร์กันสนุกสนาน ลุ้นว่าจะตกแม่น้ำโขงหรือไม่ บางวันมีนักเล่นกายกรรมน่าจะมาจากแถวยุโรปมาซ้อมด้วยเพิ่มสีสรรค์ได้ดีทีเดียว ตลอดแนวริมโขงยาวเป็นกิโลเมตร มีร้านขายอาหารนำโต๊ะออกมาตั้งหลายร้าน เมื่อเวลาพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ก็เป็นเวลาหิวพอดี ไม่ต้องเลือกร้านให้วุ่นวาย ว่างก็นั่งเลย แล้วสั่งอาหาร บางวันก็ปลานิลย่างเกลือ บางวันก็ข้าวผัดกระเพราควาย (เนื้อ) มีให้เลือกเยอะครับ ก็สลับไปทุกวัน รับประทานพร้อมเบียร์ลาวขวดละ 28 บาท (อันนี้ไม่อยากเล่าเลย ขอผ่านไปแล้วกันครับ) นั่งรับประทานข้าวไป มองพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าเมืองไทยทางฝั่งหนองคาย สวยงามครับ แต่ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่บรรยากาศต่างๆทำให้คิดถึงบ้านมาก จึงงัดโทรศัพท์ขึ้นมาโทรกลับบ้านโดยใช้เครือข่ายของไทยครับ ได้พูดคุยกับภรรยาและลูก ก็คลายความคิดถึงลงได้บ้าง



    เมื่อสอนจนครบถ้วนแล้ว ปิดท้ายด้วยการสอบ ดูนักศึกษาทีไหนๆก็เครียดเหมือนกันหมดในเวลาสอบ สอบเสร็จ ตรวจข้อสอบ ส่งคะแนนสอบให้ CHT ทันที ผมเห็นคะแนนสอบแล้วก็พอใจครับ ไม่เลวร้ายมาก ท้ายสุด ก่อนจากกันเพื่อลากลับประเทศไทยนักศึกษามอบของที่ระลึกให้ผมกลับมา เป็นรูปพระธาตุหลวง ทำด้วยแผ่นโลหะใส่กรอบ สวยงามครับ นักศึกษาบอกว่าให้จากใจ ซึ้งมากครับ และอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ทำสิ่งนี้ ไม่รู้สึกเหนื่อยและย่อท้อเลย ผมยังจำ รอยยิ้ม แววตา รวมทั้งเสียงหัวเราะ และคำพูดบางคำที่แซวผมเป็นภาษาไทยชนิดชัดเจนมากได้จนทุกวันนี้......สบายดี
    จำนวนผู้อ่านบทความนี้ 1,038 (8มีค2554-3กย2556)