วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

รังสีเทคนิคไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า

(2,758 ครั้ง)
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นการส่องรังสีเทคนิคไทยในอนาคตยาวๆประมาณสัก 10 ปีข้างหน้า ภายใต้หัวข้อว่า "รังสีเทคนิคไทยในอีก 10 ปีข้างหน้า" จริงๆแล้วจะต่อด้วยคำว่า "ในมุมมองของข้าพเจ้า" ก็เกรงว่าชื่อเรื่องจะยาวเกินไป แต่ก็ขอให้ชาวเราโปรดเข้าใจว่าเป็นมุมมองของข้าพเจ้าด้วยก็แล้วกันครับ 
เรื่องราวต่างๆต่อไปนี้ รวบรวมจากประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีกับรังสีเทคนิคไทยมาเกือบ 40 ปี รวบรวมจากข้อมูลที่ได้มีโอกาสสนทนากับผู้ทรงภูมิความรู้ด้านรังสีเทคนิคหลายท่าน ทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัยและผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคอวุโส ประกอบกับการศึกษาจากผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับรังสีเทคนิคในหลายๆด้าน ที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการในต่างประเทศ จะขอเล่าสู่กันฟังแบบสบายๆ ไม่เป็นเชิงวิชาการมากนักน่าจะดีกว่า

แนวโน้ม 6 ประการ
จากที่ได้รวบรวมเรื่องราวต่างๆทางรังสีเทคนิคตามที่กล่าวข้างต้น พอจะสรุปได้ว่า ในอนาคต 10 ปีข้างหน้านี้ มีแนวโน้มที่น่าสนใจหลายประการ และน่าจะมีผลกระทบดังนี้

1) สังคมผู้สูงอายุ
อันดับแรกเลยก็คือ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว มีประชากรในวัยพึ่งพิงซึ่งได้แก่เด็กและผู้สูงอายุรวมกันแล้วมีสัดส่วนสูงขึ้น และในปี 2560 เป็นครั้งแรกที่มีจำนวนผู้สูงวัยมากกว่าจำนวนเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมันเกี่ยวข้องอย่างไร?
เกี่ยวข้องในแบบที่ว่า จะมีแนวโน้มมากขึ้นในการค้นคว้าหาองค์ความรู้ด้านสรีรวิทยาในผู้สูงอายุ เช่น การแยกแยะระหว่างความปกติและความผิดปกติ อาจมีการค้นคว้าหาวิธีใหม่ๆเพิ่มขึ้นจากเดิม
ความที่เป็นสังคมผู้สูงอายุน่าจะเป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มทางด้านระบาดวิทยาได้ โรคหัวใจขาดเลือดและความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอักเสบ มะเร็งและโรคเบาหวาน น่าจะยังเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดในการเสียชีวิต และการมีภาวะสมองเสื่อมน่าจะเป็นปัญหาสำคัญสำหรับระบบการดูแลสุขภาพต่อไปอีก
ดังนั้น นวัตกรรมและองค์ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการแบ่งกลุ่มความเสี่ยง การคัดกรองการวินิจฉัยโรค การรักษาด้วยรังสี จึงยังคงเป็นเรื่องท้าทายที่รอคำตอบที่เป็นทางออก

2) ความผูกพันของผู้ป่วย
ความเข้าใจที่ผ่านมาช้านานของนักรังสีเทคนิคประการหนึ่ง คือ การให้บริการด้านรังสีรักษานั้น ผู้ป่วยมีความผูกพัน (Engagement) กับนักรังสีเทคนิคมากกว่าการให้บริการด้านรังสีวินิจฉัยและเวชศาสตร์นิวเคลียร์ แต่ในอนาคตอาจเปลี่ยนไปหรือไม่
การบริการที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (Patient centered) เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องให้ความสำคัญอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องยั่งยืน ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกดีๆต่อการวินิจฉัยและรักษาด้วยรังสี ทำให้ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยเกิดความผูกพันกับการบริการที่มาจากความเต็มอกเต็มใจ ผูกพันกับผู้ให้บริการทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล หรือนักรังสีเทคนิค เป็นความผูกพันของผู้ป่วยและญาติของผู้ป่วยที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการบังคับ เกิดขึ้นเอง ซึ่งจะมีส่วนสัมพันธ์โดยตรงจากการเต็มใจในการให้บริการ การพัฒนาการวินิจฉัยและรักษาด้วยรังสีให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ในอนาคตจะมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ร่วมด้วยมากยิ่งขึ้น การโต้ตอบแบบอัตโนมัติผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์ซึ่งขณะนี้มีการใช้กันอยู่ แต่ต่อไปอาจรวมไปถึงการที่ผู้ป่วยหรือบุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูลทางการแพทย์และภาพถ่ายรังสีพร้อมรายงานผลได้ง่ายขึ้น จะมีการสร้างโปรแกรมง่ายๆแบบใหม่ไว้ในโทรศัพท์มือถือที่ทำให้ผู้ป่วยสามารถรู้ข้อมูลด้านรังสีที่ถูกตรงและแม่นยำ การนัดหมายการตรวจและรักษา การเตรียมตัวก่อนมารับบริการด้านรังสี และการตรวจติดตามผล

3) เทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information technology หรือ IT) เป็นสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากในชีวิตประจำวันของผู้คนยุคนี้ไปแล้ว ทั้งในแง่บุคคลและในแง่ของสังคมส่วนรวม มีการใช้แอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือหรือแท็ปเล็ตอย่างมากมาย
ในอนาคตจะเกิดแอพพลิเคชั่นทางด้านการแพทย์ที่อาศัยปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence หรือ AI) เข้ามาช่วย ซึ่งหมายความว่า เทคโนโลยีสารสนเทศจะต้องมีความเข้มแข็งขึ้นมากกว่าเดิม
ทางด้านรังสีทางการแพทย์ อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้นำทางด้านดิจิตอลทางการแพทย์เลยก็ว่าได้ คาดหมายว่า น่าจะเกิดนวัตกรรมทางด้าน IT และ AI มากขึ้น เนื่องจากภาพรังสีทางการแพทย์เป็นภาพดิจิทัลที่มีลักษณะทั้งเป็นภาพที่สามารถมองเห็นด้วยตาว่าเป็นภาพอะไร (Qualitative imaging) และยังมีข้อมูลดิบเชิงปริมาณของภาพรังสีนั้นๆ (Quantitative imaging) จำนวนมหึมา (Big data) ซึ่งสามารถนำไปวิเคราะห์ค้นหาสิ่งที่เราต้องการเพิ่มเติมได้ต่อไป นำไปสู่การพัฒนา AI ที่ช่วยสนับสนุนในการตัดสินใจทางคลินิกของแพทย์ต่อไป แต่มีหลายคนแอบกังวลว่า AI จะมาทำให้ตกงานหรือไม่ 

4) การสร้างภาพระบบไฮบริด
การถ่ายภาพรังสีทางการแพทย์ การสร้างภาพรังสีทางการแพทย์ การรักษาโรคด้วยรังสี เป็นการดูแลสุขภาพในแบบพิเศษที่มีความท้าทายทางด้านเทคนิคเป็นอย่างมาก ท้าทายนักรังสีเทคนิคอย่างมากด้วย
การขยายตัวของเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เช่น วิธีการขั้นสูงและเครื่องมือแบบไฮบริดที่รวมกระบวนการทางสรีรวิทยาของการสร้างภาพ Positron emission tomography (PET) ร่วมกับการสร้างภาพด้วย Magnetic resonance imaging (MRI) ที่แสดงภาพโครงสร้างอวัยวะในร่างกายของผู้ป่วยอย่างคมชัด หรือร่วมกับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed tomography (CT)) เหล่านี้ทำให้มีโอกาสในการวินิจฉัยโรคต่างๆมากขึ้น
ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีทางด้านการสร้างภาพทางการแพทย์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมานั้น ยังสามารถนำข้อมูลภาพที่เป็นข้อมูลดิจิทัลไปทำอะไรต่อไปได้อีกมากมาย ทำให้เกิดระบบการส่งและจัดเก็บภาพรังสี (PACS) ซึ่งในอนาคตจะพัฒนาต่อไปในเรื่องพื้นที่และที่จัดเก็บข้อมูลภาพที่มีความปลอดภัยต่อการสูญหายมากขึ้น รวมถึงความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อสื่อสารผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เกิดการขยายโอกาสบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของนักรังสีเทคนิคกว้างขวางออกไปอีก
นอกจากนี้ยังสามารถนำข้อมูลภาพที่เป็นข้อมูลดิจิทัลจำนวนมหึมาเหล่านั้น ไปพิมพ์เป็นอวัยวะ 3 มิติ (3D printing) ที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคและรักษาโรคได้ดีขึ้นอีก ช่วยในการวางแผนการผ่าตัด ช่วยซ่อมแซมหรือเปลี่ยนอวัยวะที่เสื่อมสภาพ รวมถึงมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนนักศึกษาแพทย์และนักศึกษารังสีเทคนิคด้วย
สิ่งต่างๆทั้งหลายนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงความก้าวหน้าทางรังสีรักษาที่มีการใช้โปรตอนและอนุภาคหนักเพื่อการรักษา ซึ่งยังมีเรื่องราวอีกมากมาย นักรังสีเทคนิคจะทำตัวอย่างไร?

5) ความปลอดภัยของผู้ป่วย
เมื่อมองผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ก็จำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการป้องกันอันตรายจากรังสี การถ่ายภาพรังสีที่สามารถลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ โดยเฉพาะการตรวจด้วยซีทีนั้น เป็นประเด็นที่พูดถึงกันอย่างมากในขณะนี้ และจะยังคงพูดถึงรวมถึงการศึกษาวิจัยกันต่อไปในอนาคต
การศึกษาวิจัยทางพรีคลินิกโดยใช้หุ่นจำลองและทางคลินิกจะยังคงมุ่งไปสู่การป้องกันอันตรายจากรังสีมากขึ้น การรายงานปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับในลักษณะของการตรวจติดตามจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และน่าจะมีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ จะมีการขยายตัวของบทบาทของภาพรังสีนำร่องที่ทำให้เกิดการบุกรุกน้อยลงไปอย่างมากโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ Interventional Oncology ซึ่งจะสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ป่วยมากขึ้น
ไม่เฉพาะอันตรายที่เกิดจากรังสีเท่านั้น ในอนาคตยังจะมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการลดปริมาณสารเปรียบต่าง (Contrast media) ที่ใช้ในการตรวจด้วย ทั้งสารเปรียบต่างที่มีไอโอดีนและแกโดลิเนียมเป็นองค์ประกอบ

6) ความเชี่ยวชาญย่อยกับความเป็นเอกภาพรังสีเทคนิค
ความเป็นเอกภาพของรังสีเทคนิค มีความชัดเจนมากเมื่อคณะกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิคประกาศให้นักรังสีเทคนิคต้องมีมาตรฐานวิชาชีพและสมรรถนะตามที่กำหนดตั้งแต่ปี 2551 ทำให้สถาบันผู้ผลิตบัณฑิตรังสีเทคนิคจำเป็นต้องสร้างหลักสูตรรังสีเทคนิคให้สอดคล้องตามมาตรฐานและสมรรถนะดังกล่าวนั้น นั่นคือความชัดเจนของรังสีเทคนิคไทย
เนื่องจากองค์ความรู้และเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปอย่างมากมาย ดังนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา จึงเกิดความคิดที่ยื้อยุดกันระหว่างความเชี่ยวชาญย่อย (Subspecialty) ทางรังสีเทคนิคกับความเป็นเอกภาพของรังสีเทคนิคขึ้น และค่อยๆเกิดมากขึ้นตามลำดับ
คณาจารย์จากสถาบันผู้ผลิตบัณฑิตรังสีเทคนิคและกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิค ได้มีการพูดถึงความเชี่ยวชาญย่อยทางรังสีเทคนิคมานานแล้วในหลายโอกาส เช่นมีการมองกันว่า รังสีเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญย่อยอาจเป็นทางด้าน ซีที อัลตราซาวนด์ หรือเอ็มอาร์ไอ เป็นต้น โดยพยายามนึกถึงอัตลักษณ์ของความเชี่ยวชาญย่อยเหล่านั้นให้มีความชัดเจนและเหมาะสม ซึ่งรวมไปถึงสมรรถนะของนักรังสีเทคนิคให้ถึงขั้นสามารถเขียนรายงานในแบบของนักรังสีเทคนิคได้ (Radiographer report) ซึ่งในต่างประเทศแถบยุโรปเกิดขึ้นแล้ว แต่จนแล้วจนรอดเรื่องความเชี่ยวชาญย่อยทางรังสีเทคนิคก็ยังไม่เกิดเป็นรูปธรรม
ในอนาคตคงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะเกิดนักรังสีเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญย่อยในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรี ซึ่งอาจเป็นปริญญาโทขึ้นไป เพราะเรามองไม่เห็นหนทางที่จะจัดการศึกษาให้นักศึกษารังสีเทคนิคได้เรียนรู้จนเกิดทักษะในทุกเรื่องของรังสีเทคนิคได้โดยใช้เวลาศึกษาแค่ 4 ปีในระดับปริญญาตรี
อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นที่ต้องมีความเชี่ยวชาญย่อยทางรังสีเทคนิคขึ้นแล้วจริงๆ คำถามคือ จะมีนักรังสีเทคนิคคนใดสนใจที่จะศึกษาต่อเข้าสู่ความเป็นนักรังสีเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญย่อยนั้นหรือไม่ ถ้าการได้เป็นนั้นเป็นการเพิ่มภาระงานในระดับสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว
ข้อที่ต้องพิจารณากันเป็นพิเศษเกี่ยวกับเอกภาพของรังสีเทคนิคคือ การจะดำรงรักษาเอกภาพของรังสีเทคนิคไว้ในอนาคตอีกสัก 10 ปีอาจไม่สามารถทำได้ด้วยบริบททางการศึกษาเดิมๆ หรือแบบที่เรียกว่าอนุรักษ์นิยม ทั้งนี้เนื่องจากมีอิทธิพลจากความจำเป็นในปัจจุบันและอนาคตที่เปลี่ยนไปจากเดิมเข้ามากระทบโดยตรงนั่นเอง

นักรังสีเทคนิคในอีก 10 ปีข้างหน้า
สังคมผู้สูงอายุ ความผูกพันของผู้ป่วย เทคโนโลยีสารสนเทศ การสร้างภาพระบบไฮบริด ความปลอดภัยของผู้ป่วย และความเชี่ยวชาญย่อยทางรังสีเทคนิค ตามที่เล่าให้ฟังข้างต้นเป็นสิ่งที่น่าติดตามจับตามอง เพราะส่งผลต่อบทบาทหน้าที่ของนักรังสีเทคนิคว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต ส่งผลต่อหลักสูตรรังสีเทคนิคทั้งเนื้อหาและการจัดการ
หากจะลองจินตนาการถึงภาพลักษณ์ของนักรังสีในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้านับจากนี้ ว่าเป็นอย่างไร ภาพลักษณ์นั้นจะถูกชักนำด้วยแนวโน้มในอนาคตที่ว่ามาแล้ว โดยถ้าจะสรุปให้ตรงประเด็นกับนักรังสีเทคนิค น่าจะได้เป็นปัจจัยชักนำต่างๆ 4 ประการ คือ
- การเข้าถึงความก้าวหน้าในอาชีพได้ดี
- ไม่มีการพัฒนาอาชีพ
- ภาวะขาดแคลนนักรังสีเทคนิค
- ภาวะมีนักรังสีเทคนิคเพียงพอ
หากเรานำปัจจัยชักนำทั้ง 4 ประการนั้นมาเป็นเครื่องพิจารณาถึงภาพลักษณ์ของนักรังสีเทคนิค จะสามารถจินตนาการภาพลักษณ์ของนักรังสีเทคนิคที่มีความชัดเจน ปรากฏออกมาได้ 4 แบบ ได้แก่

แบบ A : นักรังสีเทคนิคผู้มีความสุข
เป็นภาพของนักรังสีเทคนิคที่มีบุคลิกภาพดี อาจรวมความหล่อหรือสวยด้วย ทำงานอย่างมีความสุข เนื่องจากสามารถเข้าถึงความก้าวหน้าในวิชาชีพได้อย่างดี พูดง่ายๆคือ ทำงานแล้วมีความก้าวหน้า และได้รับค่าตอบแทนพร้อมสวัสดิการที่น่าพอใจ ได้รับการยอมรับ เรียกว่าไปไกลจนถึงจุด Self-actualization กันเลยทีเดียว 
แบบ B : นักรังสีเทคนิคผู้มีความเชี่ยวชาญ
เป็นภาพของนักรังสีเทคนิคที่มีความสมาร์ตในวิชาชีพและมีความเชี่ยวชาญสูง หรือมีความเชี่ยวชาญย่อยทางรังสีเทคนิคอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง แน่นอนว่าก็ต้องรวมถึงการมีความสุขด้วย
แบบ C : นักรังสีเทคนิคกำลังจะหมดสภาพ
เป็นภาพของนักรังสีเทคนิคที่ดูแย่สุดๆ คือ กำลังจะหมดสภาพหรือสูญสลายแล้ว มีโอกาสน้อยในการเข้าถึงความก้าวหน้าในวิชาชีพ จึงไม่มีการพัฒนาในอาชีพรังสีเทคนิคเลย (Dead wood)
แบบ D : นักรังสีเทคนิคทำงานไปวันๆ
เป็นภาพของนักรังสีเทคนิคที่ทำงานรูทีนหรือทำงานประจำไปวันๆ  มีโอกาสน้อยในการเข้าถึงความก้าวหน้าในวิชาชีพน้อย แต่ก็ยังพอจะมีการพัฒนาในวิชาอาชีพรังสีเทคนิคอยู่บ้าง  

ถ้าในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า เราจินตนาการเห็นภาพนักรังสีเทคนิค 4 แบบนี้ ชาวเราจะเลือกเป็นแบบไหน และจะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร คำตอบของชาวเราส่วนใหญ่หรือทั้งหมดก็คงคล้ายๆกันหรือไม่ว่าอยากเป็นแบบ A หรือไม่ก็แบบ B มากกว่าอยากเป็นแบบ C หรือแบบ D จริงหรือไม่ ส่วนวิธีจะเป็นแบบนั้นได้ต้องช่วยกันหาหนทางร่วมกันให้เจอครับ
การเป็นแบบ A คือมีความสุข เป็นกลุ่มนักรังสีเทคนิคที่น่าจะมีได้เป็นได้ในจำนวนที่มากหน่อย แต่ถ้าเป็นแบบ B คือมีประสบการณ์เชี่ยวชาญสูง ก็มีได้เป็นได้แต่ไม่น่าจะมีจำนวนมากเท่ากับแบบ A
ส่วนการเป็นแบบ C คือแย่สุดเลยนั้น ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยเราคงต้องช่วยกันทำให้มีจำนวนน้อยที่สุด ส่วนการเป็นแบบ D ดูดีกว่าแบบ C จึงน่าจะหาหนทางดึงแบบ C ให้เป็นแบบ D แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ดันขึ้นไปสู่แบบ A ให้ได้

ชาวเราเลือกได้ว่า อนาคตจะเป็นแบบไหน แล้วช่วยกันมองหาหนทางที่จะไปสู่สิ่งที่อยากเป็น

ถ้าเราไม่รู้ว่าจะเป็นแบบไหนในอนาคต สิ่งต่างๆจะชักนำเราไปเป็นแบบนั้น

หมายความว่า หากเราไม่รู้จุดหมายปลายทางของเราว่าจะไปไหน จะเป็นแบบไหน แล้วละก็ สิ่งต่างๆที่มีอิทธิพลต่อเรา จะชักนำเราไปในทิศทางที่สิ่งต่างๆนั้นเป็นผู้กำหนด ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม

Related Links:
1)รังสีเทคนิค 4.0

2 ความคิดเห็น:

  1. ขออนุญาตสอบถามค่ะ อาชีพนี้ในปี2568 ยังคงเป็นที่ต้องการของทั้งภาครัฐและเอกชนอยู่มั้ยคะ ยังจะเรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่ขาดแคลน ค่าตอบแทนสูงอยู่อีกหรือเปล่าคะ

    ตอบลบ