วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา (2)


(354 ครั้ง)
     หลังสอบ entrance เข้ามหาวิทยาลัยเสร็จในปี 2514 ผมและเพื่อนมัธยมโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษากรุงเทพฯรวม 4 คน (แต่ละคนปัจจุบันเป็น หมอ นายธนาคาร สถาปนิก อาจารย์) ล่องใต้ไปเที่ยวสงขลา พักที่บ้านพักผู้พิพากษาพ่อของเพื่อน บริเวณแหลมสิมิหลา ใช้เวลาพักผ่อนที่นั่นประมาณ 1 สัปดาห์ คลายความเครียดหลังเตรียมตัวสอบอันยาวนานและเพิ่งสอบเสร็จ ระหว่างที่พักอยู่ที่นั่น เราช่วยกันจัดโปรแกรมกันทุกวันไม่ขาดเลย ปาดังเบซาร์-มาเลเซีย เขาตังกวย ไปหาดใหญ่ ทะเลสาบ ฯลฯ เป็นการจัดที่ไม่ได้มีแผนการอะไรล่วงหน้า นึกอยากไปไหน ตกลงกันได้ ไปเลยครับ

วันหนึ่ง เราลงมติกันว่าจะไปพิชิตยอดเขาซึ่งสูงมากในความรู้สึกของเด็กๆอย่างพวกเราในตอนนั้น ภูเขานี้อยู่ตรงปากทะเลสาบสงขลา ออกเดินทางแต่เช้า เตรียมน้ำคนละกระติก กับอาหารแห้งพออิ่ม ชวนกันนั่งเฟอร์รี่ไปอีกฝั่งเพื่อปีนสำรวจเขาให้สนุกตามประสาเด็ก ถึงเชิงเขาเดินไปอีกนาน หาทางขึ้นแต่ไม่มีทางขึ้น ต้องถามชาวบ้านแถวนั้น ชาวบ้านบอกว่า
ไอ้หนู ตรงไหนก็ขึ้นได้ แค่ปีนขึ้นไป ใจถึงๆหน่อย
พวกเราตัดสินใจปีนก็ปีน แล้วก็ค่อยๆเหนี่ยว โหน โยนตัว ดันตัวขึ้นไป ขึ้นไปเรื่อยๆช้าๆ เราทั้ง 4 คนสนุกกับการปีนในช่วงแรกๆ พอเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง ชักเริ่มลังเล จิตเริ่มตก กังวล เริ่มมีบางคนหลุดคำพูดว่า
คนหนึ่ง...ใครเป็นคนคิดวะ ลำบากชิบ...น่าจะไปเล่นน้ำทะเลดีกว่า (เริ่มขัดแย้ง เริ่มบ่น เริ่มโทษเพื่อน)
คนสอง...อ้าว..แล้วมึงไม่ค้านแต่แรก ลงมติกันแล้วนี่หว่า (เริ่มเถียง เริ่มตอบโต้ ปกป้องเพื่อน)
คนสาม...เย็นเพื่อน...อีกนิดนึงก็ถึงยอดแล้ว (ปลอบใจเพื่อน ไม่ฟันธงใครผิดใครถูก ไกล่เกลี่ย)
คนสี่....เฮ้ย น้ำกินกูใกล้หมดและ (เสนอปัญหาให้สถานการณ์ดูแย่ลง)
ผมจำไม่ได้ว่าผมเป็นคนไหน แต่มันจะมีบรรยากาศแบบนี้ระหว่างปีนขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ แรงมาก็แรงไป จบแล้วก็จบกัน เพราะแรงแบบเพื่อนกัน
เมื่คราวไปบรรยาย MRI
ที่คณะแพทย์ฯสงขลา (2546)
คนหนึ่งบ่นตลอดเวลาและดูกังวลมากกว่าคนอื่นเพราะรู้สึกว่าตัวเองลำบากมาก สิ่งที่คิดก่อนหน้าที่จะมาปีนเขา มันไม่เหมือนกับที่มาเจอกับตัวเองจริงๆ มันต่างกันราวฟ้ากับดิน
ถึงอย่างไร ความกังวลก็รบกวนจิตใจทุกคนมากขึ้นเรื่อยๆไม่มียกเว้น กังวลว่า คนหนึ่งจะทนไหวไหม จะปีนถึงยอดไหม จะถึงยอดเขาเมื่อไหร่ซึ่งนั่นคือเป้าหมายร่วมกัน กังวลมากเพราะอะไร เพราะเตรียมการไม่ดี ไม่ได้ศึกษาข้อมูลล่วงหน้า (ถ้าเป็นสมัยนี้ค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตก่อนว่าไอ้ที่เรากำลังจะปีนนั้นสูงแค่ไหน สภาพเส้นทางที่ปีนเป็นอย่างไร แพร๊บเดียวได้ข้อมูลเพียบ) น้ำไม่พอและอาหารอาจไม่พอ ถ้าเตรียมการดี ความกังวลจะน้อยลงหรือไม่มีความกังวลเลย
ขณะกำลังปีนขึ้นนั้น สภาพของพวกเราจมอยู่ในป่ารกทึบและชัน แสงแดดแรงจ้าไม่สามารถผ่านทะลุใบไม้ที่ทับซ้อนกันหนาทึบลงมาถูกต้องผิวกายพวกเราเลย จิตใจเราจดจ่ออยู่ที่ยอดเขาแต่มองไม่เห็นยอดเขา เห็นแต่ต้นไม้ และระหว่างนั้นไม่ได้เห็นความงดงามของพันธุ์ไม้เลย คือ
 มอง...แต่ไม่เห็น มีก็เหมือนไม่มี
มันมืดบอดไปเลย จิตใจไม่ได้อภิรมย์กับพันธ์ไม้ต่างๆนานาชนิด ได้แต่พยุงดันร่างกายขึ้นไปเรื่อยๆ ระหว่างทางนั้น แม้แต่นกและสัตว์นานาชนิดเปล่งเสียงร้องขับกล่อมอย่างไพเราะก็ไม่ฟัง คือ
ได้ยิน...แต่ไม่ได้ฟัง ดังก็เหมือนไม่ดัง
เหมือนไม่รับรู้ว่ามีเสียงนกเสียงกา ประสาทมันแยกไม่ออกไม่ยอมรับว่ามีเสียงนกและสัตว์ไพเราะอยู่แถวนี้ด้วยนะ ความกังวลมันมีอยู่แน่นอกและเหนื่อยมากๆ.เสื้อผ้าของทุกคนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และเพื่อนบางคนยังมีอารมณ์ขุ่นมัวกับเพื่อนที่เป็นต้นคิดเรื่องปีนเขา
คนหนึ่ง...พอๆๆ...ลงเถอะวะ (ตอกย้ำความขัดแย้ง)
คนสอง...อะไรวะ ... มึงยอมแพ้หรอ( ตัดสินฟันธง)
คนหนึ่ง...กูไม่ไหวแล้ว ยังไม่เห็นยอดเขาเลย เหนื่อย กูอยากลง (ท้อจัด)
คนสาม...งั้นมึงพักอยู่ตรงนี้ พวกกู 3 คนขึ้นต่อ หายเหนื่อยมึงค่อยตามขึ้นไป (เห็นใจ ท้าทาย)
คนหนึ่ง...เออๆ พอเพื่อน 3 คนคล้อยตัวปีนขึ้นไป มันก็ปีนขึ้นตามต่อไปติดๆ (ตัดสินใจ)
ประมาณเที่ยงวันถึงยอดเขาจุดหมายเสียทีใช้เวลาร่วม 4 ชั่วโมง เอาแล้วไง!! น้ำของทุกคนที่เตรียมมาหมดซะแล้ว เราจำเป็นต้องกินข้าวกับหยดน้ำที่เหลือนิดหน่อย
ที่ยอดเขาไม่มีที่ราบและสนามหญ้า สภาพเป็นป่ารก มีแดดร้อนจัด ลมแรงและได้กลิ่นอายทะเล เราเดินหาจุดที่ทำให้เห็นและชื่นชมทิวทัศน์เมืองสงขลา เห็นทะเลในมุมสูงจากยอดเขา เมื่อมองทอดสายตาไปไกลๆได้เห็นเกาะหนู เกาะแมว มโนไปว่าเกาะแมวกำลังไล่เกาะหนู จนน้ำทะเลปั่นป่วน เหมือนการ์ตูนทอมกับเจอรี่
เสียงบ่นเงียบไป มิตรภาพอันสวยงามที่เรามีต่อกันระหว่างเรียนเกือบถูกทำลายลงตอนขาขึ้น ทุกคนคลายความกังวลจนเกือบสิ้น และเริ่มได้ยินและฟังเสียงลมพัดผ่าน เสียงนกร้อง เสียงลิงดังมาไกลๆ สัมผัสได้ถึงความไพเราะแบบดิบๆ เดิมๆ มีวัดร้างซึ่งถูกปกคลุมด้วยไม้น้อยใหญ่ ประสาเด็กสิ่งนี้ทำให้ตื่นเต้นยิ่งนัก และจินตนาการบันเจิดไปเรื่อย รอบๆตัว เราเริ่มมองและเห็นพันธ์ไม้ต่างๆ ที่คงอยู่ที่นี่มานานแล้ว และตอนนี้มีเราทั้ง 4 คนเป็นผู้มาเยือนเดี๋ยวพวกเราก็จะต้องจากไป อยู่นานไม่ได้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งเพราะ อาหารและน้ำหมด และต้องรีบลงให้ทันก่อนมืดค่ำ กลัวพ่อแม่ของเพื่อนจะเป็นห่วง

ตอนปีนลงง่ายกว่า ไม่กังวล ใช้เวลาไม่มาก ผ่อนคลาย ได้เห็นความสวยงามหลายอย่าง พันธุ์ไม้นานาชนิด ได้ฟังเสียงไพเราะ ฟังเสียงขับกล่อมจากนก-ลิง เสียงลมพัดเป็น background มิตรภาพที่สวยงามยังอยู่แน่นแฟ้นและงอกเงยขึ้นอีก

ยิ่งอยู่สูง ยิ่งมองไกล ฤทัยเสียว
เผลอแฟล๊บเดียว ก็ต้องลง อย่าสงสัย
มัวเพลิดเพลิน ไม่ยอมลง เดี๋ยวบรรลัย   
      อาทิตย์ตก เมื่อไหร่ ได้รันกู๊ (รู้กัน)

Related Links:

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา (1)



(1,254 ครั้ง)
     ผมยังไม่เคยเห็นสังคมไหนที่ไม่มีความขัดแย้ง ถ้าจะกล่าวว่า ความขัดแย้งในสังคมย่อมมีเกิดขึ้นเสมอๆเป็นธรรมดา คำกล่าวนี้คงไม่เกินเลยความจริงนักนะครับ คราวนี้จึงชวนชาวเรามองเรื่องของความขัดแย้งแบบพินิจพิเคราะห์ให้ละเอียดขึ้น
ดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า
พุ่งผ่านปัทมาบนน้ำใส
ทั้งที่ตูมแต่มองเห็นเด่นภายใน
แปลกฤทัยใยแสงจึงแรงนัก
ดุจรังสีสาดส่องกายา
ผ่านออกมาภายในจึงประจักษ์
ธรรมชาติลิขิตไว้ประหลาดนัก
ให้ทายทักโรคได้สบายเอย

ชาวเราได้ผ่านการเรียนในห้องเรียน ห้องฝึกปฏิบัติการ เรียนกับสถานการณ์จริง เพื่อให้มีสมรรถนะครบตามมาตรฐานในการประกอบวิชาชีพ ทำงานแล้วก็ยังต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ได้เรียนรู้ทั้ง สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่เป็นจริง ชาวเราหลายคนอาจคิดว่ามันเหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรอก มันต่างกันเด็ดขาดครับ สิ่งที่ถูกต้อง มันจะถูกต้องภายใต้เงื่อนไขหนึ่งก็ได้ มันขึ้นกับ space&time ถูกต้องวันนี้ วันต่อไปอาจผิดก็ได้ แต่สิ่งที่เป็นจริง ไม่มีเงื่อนไขอะไร มันเป็นเช่นนั้น space&timeไม่มีอิทธิพลต่อความเป็นจริง”  
หากชาวเรามองภาพเอกซเรย์ที่เกิดจากการใช้หลักการ shadow technique มีสิ่งหนึ่งซึ่งสอนใจเรา คือ  สิ่งที่เห็นคือสิ่งที่มี สิ่งที่ไม่เห็นคือสิ่งที่ไม่มีหรืออาจมีก็เป็นได้ จริงไหม? เช่น สุริยุปราคาเต็มดวงที่เรารู้สึกว่าเห็นดวงอาทิตย์เป็นสีดำ แต่ความเป็นจริงคือเราเห็นดวงจันทร์เป็นรูปวงกลมสีดำ โดยไม่เห็นดวงอาทิตย์ ซึ่งเราก็รู้อยู่แก่ใจเราว่า ยังไงมันก็ยังมีดวงอาทิตย์อยู่ ไม่ได้หายไปไหน มันขึ้นกับตำแหน่งวัตถุและมุมมองของเรา
นักรังสีเทคนิคมีความสามารถหลายอย่าง เรื่องการสร้างภาพรังสีทางการแพทย์ก็เป็นความสามารถหนึ่ง ชาวเราย่อมเข้าใจดีว่า จะเห็นภาพรังสีเหล่านั้นได้เพราะมีความแตกต่างของความดำ-ขาวเกิดขึ้น จึงอาจกล่าวได้ว่า เพราะมีความสว่างจึงรู้ว่ามีความมืด เพราะมีความมืดจึงรู้ว่ามีความสว่าง นั่นแหล่ะ Radiographic Contrast”
จริงหรือไม่ที่คนเราโดยส่วนมากมัก มองเห็นความแตกต่างกันมากกว่าความเหมือนกัน คนเรานั้นเหมือนกันเยอะมาก ทางกายภาพ เช่น หายใจ กินอาหาร ขับถ่าย ขยายพันธ์ ฯลฯ เหมือนกันหมด ในเรื่องของสติปัญญา ความรู้ จิตใจ ก็เหมือนกัน ทั้งหมดนั้นอาจแตกต่างกันบ้าง คือมี contrast เกิดขึ้นบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าใครดีกว่าใคร ซึ่งความแตกต่างนี้ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับทั้งหมดของความเป็นมนุษย์ แต่คนเราก็มักจะมองเห็นความแตกต่างอันน้อยนิดนี้ได้อย่างชัดเจน โดยอาจลืมหรือมองไม่เห็นสิ่งที่เหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อความแตกต่างนั้นผูกโยงกับผลประโยชน์แล้วไซร้ ความขัดแย้งก็จะบังเกิดขึ้นนำไปสู่การปะทะกันระหว่างคู่ขัดแย้ง เมื่อปะทะกันแล้วผลเสียหายจะเกิดตามมาแบบคาดไม่ถูกเลยครับ และมองหาประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการปะทะกันได้ยากมากๆ หรือไม่เกิดประโยชน์เลย
ลองคิดถึง annihilation radiation ที่เกิดขึ้นระหว่าง positron และ electron เรื่องนี้ชาวเราทราบดีว่า อนุภาคคู่นี้ มีมวลเท่ากัน ประจุเท่ากัน สปินเท่ากัน อะไรๆก็เท่ากันมีความเหมือนกันเยอะมาก แตกต่างกันแค่นิดเดียวคือชนิดของประจุไฟฟ้า เจ้าตัว positron มีประจุบวก ส่วน electron มีประจุลบ แค่นี้เป็นเรื่องเลยครับ คู่นี้ถูกจัดให้เป็น antiparticle ของกันและกัน เจอกันเมื่อไรก็วินาศสันตะโรหรือบรรลัยกัลป์ เกิดระเบิดอย่างรุนแรง การระเบิดของมันได้โฟตอน 2 ตัววิ่งในทิศทางตรงข้ามกันเป็นไปตามกฎ conservation of energy and momentum โฟตอนที่เกิดขึ้นนั้นนักรังสีเทคนิคสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างภาพการทำงานของอวัยวะภายในของผู้ป่วยได้ เป็นความแตกต่างและการปะทะกันที่เกิดประโยชน์ ไม่เหมือนการปะทะกันระหว่างคู่ขัดแย้งที่เป็นคน
เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ชาวเรามักจะถูกชักนำหรือมีแรงดึงดูดให้ไปอยู่กับข้างใดข้างหนึ่งจนได้ หาคนที่จะยืนอยู่ตรงกลางได้ลำบาก แม้คนๆนั้นจะยืนอยู่ตรงกลางได้ ก็ยืนได้ลำบากมาก เพราะจะถูกมองจากทั้งสองข้างแบบผลักไสไปข้างโน้นทีข้างนี้ที
เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้ว ชาวเรามีวิธีการมองเรื่องความขัดแย้งอย่างไร ผมแนะนำว่า ชาวเราไม่ควรเลือกข้างใดข้างหนึ่งเพียงเพราะว่า...
#เพราะเรามีความศรัทธา-เชื่ออย่างนั้น แล้วมันตรงกับสิ่งที่เราเชื่อ
#เพราะข้างนั้น มีคนที่เรานับถือศรัทธา และจะคอยฟังคนๆนั้นว่าจะคิดและทำอะไร
#เพราะมันสอดคล้องกับหลักการและเหตุผลของเรา
#เพราะข้างนั้นมีข้อมูลน่าเชื่อถือมากๆ
#เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยอยู่ข้างนั้น
#เพราะเขาเป็นพวกเดียวกันกับเรา
#เพราะเรากลัวแพ้ อยู่ข้างนี้ดีกว่าชนะแน่ๆ
#เพราะเราได้รับประโยชน์จากการไปอยู่ข้างนั้น
#เพราะมีความรักข้างนี้เลยอยู่ข้างนี้ มีความเกลียดข้างนั้นเลยมาอยู่ข้างนี้
สิ่งทีชาวเราควรทำคือ มองและค้นหาให้เห็นความจริงว่ามันคืออะไร พิจารณาความจริงให้ถ่องแท้ ด้วยวิจารณญาณอันสุดยอดของเราเสียก่อน ก่อนตัดสินใจจะอยู่ข้างใด หากพิจารณาแล้วพบความจริงว่าผิดทั้งสองข้าง ก็อย่าไปเลือกข้าง.อันนี้เป็นเรื่องที่ยากมากๆ แต่ก็ควรทำให้ได้ ประเด็นนี้ คนส่วนใหญ่จะมีแนวโน้มรับฟังการตัดสินใจของคนที่เขาเคารพและศรัทธา แล้วก็เลือกคิดไปตามนั้น
หากให้ชาวเราเลือกระหว่างข้างดีและข้างเลว เชื่อว่าชาวเราเลือกข้างดี แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าข้างไหนเลวหรือข้างไหนดี อันนี้ยากมากอย่างที่บอก และเมื่อเลือกข้างดีแล้วต้องระวังมากๆคือ อย่าติดดี ก็แล้วกัน เพราะเราอาจทำความเลวในความดีได้ ... เพราะข้างนั้นมันเลวและเราดีไงล่ะ เราจึงมีความชอบธรรม(คิดเอง)ที่จะทำอะไรข้างนั้นก็ได้ ด่ามันก็ได้ ประณามมันก็ได้ กลั่นแกล้งมันก็ได้ หรืออาจถึงขั้นทำร้ายให้เจ็บให้ตายก็ได้ เพราะมันเลวไงเราจึงทำได้ ยิ่งถ้าข้างนั้นทำให้เราเจ็บใจเจ็บกายก็ยิ่งต้องตอบโต้ให้สาสม...อันนี้คือทำความเลวโดยอ้างความชอบธรรมในความดี ไม่ควรอย่างยิ่ง ในสังคมเรานั้นมีตัวอย่างมากมายเรื่องการทำความเลวในความดี
เมื่อเป็นฝักเป็นฝ่าย แบ่งเป็นข้าง แล้วขัดแย้งกัน แต่ละข้างอาจรู้สึกว่าข้างของตัวถูกทำร้าย ข้างโน้นก็บอกว่า
เราถูกทำร้าย ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกโกง ฯลฯ ฉอดๆๆๆๆ
ก็เลยมองอีกข้างว่าเลวว่าชั่ว ... ส่วนอีกข้างหนึ่งนั้นก็บอกเหมือนๆกันว่า 
เราถูกทำร้าย ไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกโกง ฯลฯ บลาๆๆๆ
และมองข้างโน้นว่าเลวว่าชั่วเหมือนกัน แล้วมันจะจบอย่างไรล่ะ เมื่อทั้งสองข้างที่ขัดแย้งกันนั้นยืนยันฟันธงกันอย่างนี้ มันก็จะมีแต่แรงผลักกันทางความคิด เข้ากันไม่ได้ ... หากตั้งสติดีๆ ค่อยๆคิด เอาเถอะถ้าแต่ละข้างคิดว่าถูกทำร้าย จะเห็นว่า จริงๆแล้ว ไม่น่าจะมีข้างไหนถูกทำร้ายข้างเดียว ไม่ได้รับความยุติธรรมข้างเดียว หรือเข้าใจว่าถูกโกงข้างเดียวหรอก ... หลักกลศาสตร์ของนิวตันง่ายๆบอกไว้ว่า action=reaction คือ ไม่ว่าข้างไหนจะคิด-ทำอะไรเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม ก็จะส่งผลกระทบถึงอีกข้างอยู่ดี ผลกระทบนั้นทำให้อีกข้างนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรมด้วย มันหลีกไม่พ้น แต่ละข้างจึงควรมองด้วยความเข้าใจให้เห็นความจริงตรงนี้ และไม่ควรปิดผนึกล็อคหัวใจไว้ เพราะมันจะทำให้ไม่ยอมรับรู้รับฟังความเดือดร้อนของข้างที่คิดว่าอยู่ตรงข้ามกัน...
อีกประการหนึ่ง ใครบางคนทำบางสิ่งลงไป ที่มีผลกระทบต่อผู้อื่นหรือมีผลกระทบต่อส่วนรวม เขาย่อมมีเหตุผลของเขา ดีหรือไม่ดี เร็วหรือช้า ไม่ควรไปตัดสินเขาครับ ชาวเราไม่อาจเข้าใจได้หรอกว่าเขาทำแบบนั้นตอนนั้นทำไม เราไม่ใช่เขา เขาก็ไม่ใช่เรา และเมื่อใช้เหตุผลมาจับ มันอาจผิดในมุมมองของเราแต่อาจถูกในมุมมองของเขา แนะนำว่าไม่ควรไปตัดสินครับ มองเฉยๆทำตัวเป็นนิวตรอนดีกว่า เป็นกลางดีกว่า  วันเวลาผ่านไป เมื่อมองย้อนกลับไป เราอาจคิดผิดก็ได้ เว้นเสียแต่ว่าเรื่องนั้นความจริงประจักษ์ชัดเจนว่าจะเกิดผลเสียหายร้ายแรง อย่างไรก็ตาม ใครก็ตามไม่ว่าจะคิดและทำอะไร ก็ควรยืนบนพื้นฐานของประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ตน เรื่องดีหรือไม่ดี เร็วหรือช้า ล้วนเป็นเรื่องของ relativity เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพัทธ์ ถ้ามีใครบอกว่า คุณเดินเร็วไปแล้วนะ แสดงว่าใจของเขาต้องการเดินให้มันช้ากว่าใช่ไหม
โชคชะตา จังหวะก้าวเดินของชีวิต อาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผมตกอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้งมาหลายครั้งหลายครา และได้ค้นพบว่า ความขัดแย้งมักคลี่คลายลงจริงๆ (ไม่ใช่ดูเหมือนคลี่คลาย) ด้วยการที่ทุกฝ่ายโดยเฉพาะคู่ขัดแย้งมองให้เห็นความจริงถึงความทุกข์ร้อนของคู่ขัดแย้ง ปล่อยวางซะ (ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย) ไม่มองว่าคู่ขัดแย้งเป็นศัตรู มองคู่ขัดแย้งว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียร่วมกัน และพยายามทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ครับ
จึงขอฝากมุมองเรื่อง ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดาไว้ให้ชาวเราได้พิจารณา
การเขียนเรื่อง ความขัดแย้ง เป็นการเขียนที่ยากที่สุดเท่าที่เคยเขียนมา เพราะ สถานการณ์ขณะที่เขียนอยู่นี้มีความเสี่ยงสูงที่ผู้เขียนจะ เปลืองตัว เก่งกาจขนาดไหนกันเชียวจึงเที่ยวมาแนะนำโน่นนี่นั่น

อย่างที่บอกครับว่า ผมตกอยู่ในท่ามกลางความขัดแย้งมาหลายครั้ง ได้รู้ได้เห็นสิ่งต่างๆมากมาย มีบางครั้งเจ็บตัวและเกือบถอดใจ สำหรับคราวนี้ เมื่อตัดสินใจเขียนแล้วก็ไม่กลัวเปลืองตัวอีกแล้ว พยายามคิดว่า ไม่มีตัวตน ที่จะทำให้สิ้นเปลือง แต่ก็นั่นแหล่ะ ผมก็ยังเป็นคนธรรมดา ยังเจ็บได้ และหากเจ็บนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม เกิดสันติสุขในหมู่ชาวเรา win-win กันทุกฝ่าย ก็ยอมเจ็บยอมเปลืองตัวครับ

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

RT Values


ประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2557 ผมกำลังประชุมคณะอนุกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิคด้านจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ที่สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อนุกรรมการฯจรรยาบรรณฯมีเรื่องให้พิจารณาตัดสินใจอย่างสำคัญ  ขณะกำลังประชุมอยู่นั้น มีคนโทรศัพท์เข้ามาหาผม

สมภพ วงศ์บรรเจิดกิจ
สวัสดีครับอาจารย์ ผม..สมภพ วงศ์บรรเจิดกิจ หัวหน้าแผนกรังสีวินิจฉัย รพ.กรุงเทพ พัทยา ลูกศิษย์อาจารย์ครับ รุ่นแรกๆเลย จำผมได้ไหมครับ
แล้วก็คุยกัน ลำดับความกันจนผมจำสมภพได้ สมภพจะรบกวนให้ผมไปบรรยายในงานประชุมวิชาการ RT meeting ของโรงพยาบาลในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ [ BDMS ] ซึ่งมีนักรังสีเทคนิคประมาณ 400-500 คน เพื่อให้มุมมอง ในการให้คุณค่ากับวิชาชีพ กับชีวิต กับเพื่อนร่วมงาน ผมก็ถามสมภพว่า
เพราะอะไร จึงเลือกให้ผมไปพูดหัวข้อนี้ ผมจะพูดได้รึ??”
สมภพบอกกับผมว่า
ได้ครับ ผมติดตามบล็อกของผมมานานแล้ว และได้เห็นมุมมองในเรื่องทำนองนี้ของอาจารย์เยอะมากและมีคุณค่า น่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักรังสีเทคนิค
ผมก็เลยตอบรับว่าจะไปบรรยายในหัวข้อ Radiologic Technologist Values (RT Values)ในมุมมองแบบผม..ประกายรังสี
วันที่ 10 ตุลาคม 2557 เวลา 9:00 น.เป็นวันเวลานัดหมายที่ให้ผมไปบรรยายที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ผมเตรียมสไลด์ไปประมาณ 40 สไลด์ วางแผนว่าใช้เวลาประมาณ 1:30 ชั่วโมงสำหรับการบรรยาย และเป็นครั้งแรกของการบรรยายของผมที่ไม่มีเอกสารประกอบการบรรยาย เพราะในสไลด์ทุกอันไม่มีรายละเอียดอะไร เป็นรูปภาพ ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว
เมื่อเริ่มการบรรยาย ผมได้บอกกับผู้ฟังชาวเรา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักรังสีเทคนิค มีรังสีแพทย์มาร่วมฟังด้วยจำนวนหนึ่งว่า
ขอให้ชาวเราทุกคน ปลดกรอบความคิดเดิมๆของตัวเองออกไปก่อน แล้วฟังผมพูดไปเรื่อยๆจนจบ โดยทำใจรับรู้เรื่องราวต่างๆที่ผมพูด อย่าเพิ่งสงสัยอะไรนะครับ
จากนั้นก็บรรเลงเลยครับ 1:30 ชั่วโมงพอดี
บรรยายเสร็จ มีสุภาพสตรีเดินรี่เข้ามาทักทาย บอกว่าตั้งใจมาฟังผมพูดเพราะเห็นรายชื่อวิทยากรกับชื่อหัวข้อเรื่องที่พูด.. เธอคือนาวาเอกหญิงจันทรา รน. จากโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ สัตหีบ นี่เองครับ... ลูกศิษย์รังสีเทคนิครุ่น 1 มหิดลของผม...เลยคุยกันสนุกสนานมาก 
นาวาเอกหญิงจันทรา (หนุ่ย) รน. 
เสียงจากรังสีเทคนิครุ่นเก๋า รุ่นเก่า รุ่นกลางๆ และรุ่นใหม่
ชอบที่อาจารย์สอนเรื่องคุณค่าในงานที่ทำ รู้สึกได้ถึงพลังความคิด
ขอขอบคุณอาจารย์นะคะอยากให้เพื่อนๆวิชาชีพ ได้ฟัง "ความมืดบอดโดยไม่ตั้งใจ" แล้วชีวิตของการทำงาน น่าจะมีความสุขมากขึ้น
     “
เกือบสิบปีอาจารย์มาสอน วิชาชีพที่นเรศวร...แต่วันนี้อาจารย์มาสอนวิชาชีพทางใจ...การทำงานจะได้มีความสุข
ฯลฯ

Related Links: