วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มองให้เป็นเห็นต้นไม้เป็นครูของเรา



เมื่อคราวไปประชุมวิชาการ AACRT ครั้งที่ 19 ที่โรงแรมปางสวนแก้ว เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 16-18  มกราคม 2556 นอกจากจะได้มีโอกาสเป็นผู้ดำเนินการอภิปรายเรื่อง ความก้าวหน้าของสายงานรังสีการแพทย์ของไทย ร่วมอภิปรายกับนายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผศ.ดร.บรรจง เขื่อนแก้ว ประธานกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิค และนายสละ อุบลฉาย นายกสมาคมรังสีเทคนิคแห่งประเทศไทยแล้ว ยังได้มีโอกาสไหว้พระ 5 วัด ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร วัดพันเตา วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร และวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร(ลำพูน)
มองจากห้องพักโรงแรมปางสวนแก้ว
วัดพระสิงห์ฯ กับลูกศิษย์ภูฏานและเพื่อนต่างชาติที่มาประชุม
     การเดินทางไปกราบพระตามวัดต่างๆที่กล่าวมานั้น ต้องขอขอบคุณผศ.ลัดดา เฉลยกิตติ ที่ให้รถอาจารย์อำไพ อุไรเวโรจนากร มาใช้ระหว่างอยู่ที่เชียงใหม่  ผม ภรรยาและลูกก็เลยได้อาศัยโดยสารไปด้วย
การขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพนั้น  เรานั่งรถเก๋งจากโรงแรม ไปจอดรถไว้ที่อาคารจอดรถของสวนสัตว์เชียงใหม่ และต่อรถแดงที่หน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ซึ่งอยู่ที่ทางขึ้นดอยสุเทพ  ระหว่างทางขึ้นเขา โดนรถเหวี่ยงไปมาตามแรงหนีศูนย์กลางเมื่อรถวิ่งเข้าทางโค้งซึ่งมีหลายโค้ง บางโค้งก็ติดๆกัน เหวี่ยงไปมา เผลอนิดเดียวมึนเลย ระหว่างนั้น จิตใจมันจดจ่ออยู่ที่พระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ดอยปุย แทบจะไม่ได้มองความสวยงามระหว่างทางที่ขึ้นไปเลย และลุ้นว่าตัวเองจะเมารถหรือไม่ เกือบเมาครับ แต่ก็รอดมาได้ 
     นี่แหล่ะคือ ตัวอย่างของการขึ้นสู่เป้าหมายที่สูงๆ ซึ่งหากเทียบเคียงกับการทำงานโดยมุ่งแต่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ซะสูงมากๆ จึงมีโอกาสสูงที่จะพลาดการชื่นชมความงามระหว่างทาง พึงระวังให้มากๆครับ อาจสูญเสียมิตรภาพไปในระหว่างทางได้ 
เราเลยขึ้นไปแวะชมความงามของต้นไม้ ดอกไม้ที่ภูพิงคก่อน แล้วเดินทางต่อขึ้นไปบนดอยตุง ถนนช่วงนี้แคบมาก ลุ้นตลอดทาง เสร็จแล้วกลับลงมานมัสการพระธาตุดอยสุเทพ
ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ยังคงความงามของดอกไม้และต้นไม้ที่ไม่จืดจาง น้ำส้มคั้นสดๆ และดอกไม้งามทำให้รู้สึกสดชื่นและหายเหนื่อย
แวะชมหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งบนดอยปุย ชมดอกฝิ่น พิพิธภัณฑ์ ถ่ายรูปชุดม้ง แดดจัดมากแต่อากาศเย็นสบายกำลังดี เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปในชุดม้ง จนอาจารย์อำไพเผลอลืมหมวกทิ้งไว้ที่นั่นจนได้  เป็นหมวกที่ซื้อจากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ซะด้วย
พระธาตุดอยสุเทพ พระธาตุสีทองคำระยิบระยับ ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ยังคงความงดงามและมนต์ขลัง มีพลังงานบางอย่างที่ทำให้จิตใจของเราเยือกเย็นลงและสงบอย่างน่าประหลาดแท้ในทุกครั้งที่ได้ขึ้นไปนมัสการ แม้ผู้คนจะมาก ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ระหว่างที่ชมพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เห็นดอกไม้งดงามและต้นไม้น้อยใหญ่ เป็นเสมือนดินแดนในฝัน ทำให้นึกถึงคำสอนของอาจารย์นานมาแล้วว่า
ต้นไม้ยิ่งเสียดยอดสูงใหญ่ ยิ่งต้องมีรากที่หยั่งลึกลงไปในดินมากเพื่อความมั่นคง
เรามักจะเห็นต้นไม้ขึ้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สามัคคีกัน ซึ่งทำให้มันสามารถต้านทานแรงลมพายุได้ ไม่เคยเห็นต้นไม้มันทำร้ายกันเอง หากบังเอิญมีต้นไม้พยายามสูงใหญ่ขึ้นอยู่ต้นเดียวโด่เด่  ต้นไม้ต้นนั้นเมื่อโดนลมพายุพัดก็จะหักโค่นได้ง่าย
ต้นไม้ รักษาดินให้ความร่มเย็นแก่โลก ดูดน้ำผ่านรากลำต้นถึงกิ่งใบ สังเคราะห์แสง ให้ออกซิเจนและอาหารแก่โลก  มนุษย์เราได้ใช้ประโยชน์จากต้นไม้มากมายเหลือคณานับ
กระดาษทำจากตันไม้ มีคำกล่าวว่า มองผ่านกระดาษแผ่นเดียวสามารถมองเห็นจักรวาลได้ จริงหรือไม่ ลองคิดดูครับว่ากว่าจะได้กระดาษมาซักแผ่นเดียวต้องมีกระบวนการอะไรบ้าง ไม่น่าเชื่อว่า ทั้งจักรวาลเชื่อมโยงมาที่กระดาษแผ่นเดียวได้
ต้นไม้ทำหน้าที่หลายอย่างเหลือเกิน
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ต้นไม้ทำหน้าที่ของมันโดยไม่มีใครสั่ง ไม่เคยเรียกร้องขอรางวัลคุณความดีจากใคร ไม่เคยอวดอ้างว่าฉันดีฉันเด่นนะ
เหล่านี้ ชาวเราคงเห็นด้วยถ้าจะกล่าวว่า มองให้เป็นเห็นต้นไม้เป็นครูของเรา
ต้นไม้บอกเราว่า ให้เราทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องชอบธรรมโดยไม่ต้องให้ใครมาสั่ง เราไม่อวดอ้างว่าเราดี เราอยู่และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดี เรามีรากฐาน จิตใจดี ความคิดดี ทำดี วิชาการดี ซึ่งทำให้เราเติบโตสูงใหญ่ขึ้นอย่างมั่นคง ฯลฯ ต้นไม้สอนเราอย่างนี้
มีชาวเราบางคนถึงหลายคนบ่นให้ฟังว่า หน้าที่ของเราคือทำงาน routine เบื่อจัง เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำมืด ดึกดื่น เหมือนเดิม เซ็งง่ะอาจารย์ ทำไงดี
ก็เลยอธิบายไปว่า
ที่เรารอดอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะเราทำหน้าที่ที่เรียกว่างาน routine มิใช่รึ
ดูอย่างการหายใจของเราก็เป็นงาน routine เราหายใจ เข้า-ออก เป็น routine ตลอดเวลาแม้ยามนอนหลับ ลองไม่หายใจดูซิ อะไรจะเกิดขึ้น 
หรือแค่เปลี่ยนจังหวะการหายใจก็ได้ ไม่ต้องหายใจแบบ routine หรอก ลองทำดูครับ
หายใจเข้าอย่างเดียว หรือหายใจออกอย่างเดียว ไม่ได้ใช่ไหม
      โปรดอย่าดูแคลนงาน routine เลย
คือ เราต้องฝึกมองแบบ positive thinking บ่อยๆให้เป็น routine ให้ชิน (P2R=positive thinking to routine) มองส่วนดีให้ชีวิตมีความ ชุ่มชื่น กระปี้กระเปล่า  แค่นี้ก็สุขโขสโมสรแล้ว

Related Links:
แค่น้ำหยดเดียวมีค่ายิ่ง
ขันติเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์

3 ความคิดเห็น:

  1. FB:.....

    ธารารัตน์ อ่อนอินทร์:....
    สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ... ปล่อยลมหายใจออก เปล่า Chest films คือ การถอนหายใจ ... เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น

    Phatthanan Platoo:...
    จริงที่สุดค่ะ อาจารย์ .....ทุกวันนี้มีอาชีพ การงานที่มั่นคง เจริญก้าวหน้าในอาชีพของหนู ก็เพราะ งานroutine ที่อาจารย์ สั่งสอนพวกหนูมาตั้งแต่ไม่รู้จัก จนปัจจุบันนี้ จะ ยี่สิบ ปีแล้วค่ะ อาจารย์ ก็ยังหายใจเข้า กลั้นใจนิ่ง อยู่ทุกวัน ค่ะ

    Umpolprot Wongpiem:...
    บางวันผมเบื่อ chest ผมก็ไปถ่าย Abdomen พอผมเบื่ออีก ผมก็ไปถ่าย spine อีก งามผมหลากหลายมาก หนุกดีครับ^_^

    Nantaya Uttamakul:...
    ไม่เห็นเบื่อเลยค่ะงานวิชาชีพเราท้าทายเสมออยู่ที่ตัวเราต่างหากว่าจะจัดการกับวิถีการทำงานอย่างไรอันไหนคิดว่ารูทีนก้อช่างเขาแต่ของเราไม่ทุกอย่างปรับเปลี่ยนได้ตามโอกาสและสถานการณ์ เพราะงานของเรามันมีความหลากหลายในตัวอยู่ที่ว่าคนทำงานจะค้นหาเจอรึปล่าว หนูหามันเจอเลยไม่เบื่อค่ะก้อวิชาชีพที่ใครๆคิดว่าเป็นรูทีนน่าเบื่อนี่แหละ ที่ทำให้ได้เงินเดือน 35000 บาทไม่รวมเงินนอก มีบ้านอยู่มีรถขับ มีไอโฟน 4,5 ใช้ ได้ท่องเที่ยวตามใจฉันและอีกมากมาย หรือใครว่าไม่ใช่บ้าง ถ้ามีคนนั้นคงไม่รักในวิชาชีพที่ตนเองทำมาหากินนะ....(คงไม่แรงนะอาจารย์ )

    mmy Sura Za:...
    นั่นไง.ถ้าเราไม่ทำแล้วคัยจะทำ...ไม่มีคัยรู้และทำได้ดีเหมือนเราแล้ว..เชื่อเหอะ

    ตอบลบ
  2. จบเทคนิครังสีจากอังกฤษทำงานมาแล้วประมาณเกือบ6ปี ตอนนี้อยากกลับไปทำงานที่ไทย พอจะเป็นไปได้ไหม ข้อคำแนะนำการสอบใบประกอบโรคศิลปะ สอบอย่างไร เมื่อไหร่ ขอบคุณมากๆค่ะ

    ตอบลบ
  3. ตามกฎหมายบอกว่า .... ต้องมีความรู้ในวิชาชีพคือเป็นผู้ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรเทียบเท่าปริญญาสาขารังสีเทคนิคจากสถาบันการศึกษาที่คณะกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิครับรอง และต้องสอบความรู้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิคกำหนด สำหรับผู้สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศซึ่งมิได้มีสัญชาติไทย ต้องได้รับอนุญาตให้ประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิคจากประเทศที่สำเร็จการศึกษาด้วย

    ตีความตามกฎหมาย สอบได้ครับ แต่ตามเงื่อนไขเล่านี้เป็นอย่างน้อย
    1)คณะกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิคต้องให้การรับรองสถาบันฯนั้นก่อน
    2)จบปริญญาหรือเทียบเท่าสาขารังสีเทคนิคจากสถาบันนั้น
    3)ได้รับอนุญาตให้ประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิคในประเทศนั้น
    4)สมัครสอบเพื่อขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิคของไทย ซึ่งจะสอบปีละ 2 ครั้ง มิย. และ พย.

    ดังนั้น หากจะเข้าสอบเดือน พย. ต้องรีบส่งรายละเอียดถึงประธานคณะกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิค ประกอบด้วย หลักฐานแสดงวุฒิการศึกษาที่จบ รายละเอียดหลักสูตรที่ศึกษาของสถาบันที่จบ ใบอนุญาตการประกอบวิชาชีพสาขารังสีเทคนิค หนังสือรับรองการทำงานและอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้คณะกรรมการวิชาชีพพิจารณาคุณสมบัติว่าสามารถสมัครสอบเพื่อขอใบอนุญาตฯได้หรือไม่ครับ...ทั้งหมดนี้ขึ้นกับการพิจารณาของคณะกรรมการวิชาชีพฯ

    ตอบลบ