วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

คิดบวกเมื่อถูกด่า


(8,288 ครั้ง)


   ปีที่แล้ว ตอนต้นๆปี ผมไปทำพาสต์ปอร์ตที่ตึกกระทรวงวัฒนธรรม เยื้องกับเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ระหว่างรอ ก็เดินดูอะไรเพลินๆ ตามประสาคนไม่ชอบอยู่เฉยๆ พลันสายตาเหลือบไปเห็นบอร์ดๆหนึ่ง เป็นบอร์ดที่อยู่ในบริเวณที่รอทำพาสต์ปอร์ตนั่นแหล่ะ ไฉนเอาเรื่องการด่ามาติดไว้ จะแนะนำวิธีการด่าหรืออย่างไร เมื่ออ่านไปซักสองสามบรรทัด เกิดติดใจตรงที่ชวนให้เราคิดบวกเมื่อถูกด่า และมีวิธีคิดในแง่มุมที่น่าสนใจ เลยตั้งใจอ่านจนจบเรื่อง แล้วรีบบันทึกข้อความไว้ในหน่วยความจำทันที
คงไม่เกินความจริง ถ้าผมจะบอกว่าไม่มีใครไม่เคยถูกด่าทั้งต่อหน้าและลับหลัง และน่าจะป็นที่ยอมรับกันนะครับว่าการนินทาหรือด่าลับหลังมีมากกว่าการด่าต่อหน้า ตรงนี้คงเป็นเพราะคนนินทาหรือคนด่าเป็นห่วงสวัสดิภาพของตัวเอง  ด่าแรงบ้างเบาบ้างมีทุกรูปแบบขอให้ลับหลังก็แล้วกัน อย่างตัวผมมีโอกาสพบผู้คนมาก คู่สนธนาคุยกันอยู่ดีๆก็วกไปด่าคนอื่นให้ผมฟัง อันนี้บ่อยมาก ไม่เว้นแม้แต่คนที่ได้รับการศึกษามาสูงๆ จึงคิดว่า เรื่องคิดบวกเมื่อถูกด่าน่าจะมีประโยชน์บ้างกับทุกคน ซึ่งบางคนอาจกำลังถูกด่าอยู่ตอนนี้ หรือไม่ก็ใกล้จะถูกด่าเข้าไปเต็มทีแล้ว

เริ่มอุ่นเครื่องกันเลยครับตามนี้

     ตัวอย่างคิดบวกเมื่อถูกด่าด้วยถ้อยคำต่างๆ

เมื่อถูกด่าว่าควาย ให้คิดว่า นั่นแหล่ะเขากำลังยกย่องว่าเราเป็นคนขยัน อดทน เพราะควายขยัน อดทน ไม่เคยเห็นควายแอบหลบงานไปนั่งเล่นเฟสบุ๊ค แอบงีบ หรือไปจีบควายสาว ดังนั้น หากใครเรียกเราว่า ไอ้ควาย หรือ อีควายจงยิ้มรับ แล้วกล่าวคำว่า ขอบคุณครับ-ค่ะ ยุคนี้ถ้ามาด่าเราว่า "ไอ้คน" น่าจะเจ็บกว่า
เมื่อโดนด่าแล้วโดนไล่ให้ไปตาย ก็คิดซะว่า โลกปัจจุบันน่าอยู่ที่ไหน อยู่ไปก็ไม่ปลอดภัย ใครไล่ให้ไปตายแสดงว่าเขาห่วงใยในสวัสดิภาพของเราไม่อยากให้ผจญภัยในโลกที่น่าทุกข์ระทมนี้ เราจึงควรแสดงความห่วงใยเค้าบ้างเช่นกันว่า ไม่เป็นไร เชิญพี่ก่อนละกัน
โดนด่าว่า ไอ้ห่า-อีห่า ก็ยิ้มไว้ เพราะสมัยก่อนใครเป็นโรคห่าคงตายแน่ สมัยนั้นคงต้องการให้คนถูกด่าเจอแต่เรื่องร้ายๆหรือตายไปเลย สมัยนี้โรคห่าเอาอยู่ รักษาได้ เป็นห่าได้ก็หายได้ คือเจอเรื่องแย่ๆก็ผ่านได้ คนด่าก็ด่าออกไปด้วยโมโหไม่ทันคิด คิดอีกทีคนด่าอวยพรคนถูกด่านะนั่น เพราะ ไอ้ห่า-อีห่า เท่ากับ ขอให้ไอ้-อีผ่านเรื่องร้ายๆได้ สมัยนี้ถ้าให้เจ็บจี๊ดต้องด่าด้วยคำว่า ไอ้เอดส์-อีเอดส์ ไอ้ไข้หวัดนก-อีไข้หวัดนก แต่คำว่า ห่าอาจไปอยู่ที่ตรงอื่นๆที่มีความหมายต่างไป เช่น ทำดีแล้วโดนด่า ไม่ทำห่าดันด่าคน ไม่ทำห่าในที่นี้น่าจะหมายถึงไม่ทำอะไรเลย ห่าในที่นี้เท่ากับจำนวนมากๆ
โดนด่าว่า บ้า เราทั้งหลายรู้กันว่าคนบ้ามักมีจินตนาการสูงส่งยิ่งกว่าคนธรรมดาหลายเท่า แถมยังอารมณ์ดี หัวเราะได้ทั้งวัน เขาด่าว่าบ้า เป็นการชื่นชมในคความฉลาดหลักแหลมเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และเป็นคนมีอารมณ์ขันของเรา ทั้งหมดนี้แน่นอนว่าคนด่าย่อมทำไม่ได้อย่างเรา
โดนกล่าวถึงบิดามารดา แสดงว่าเขาเคารพบิดามารดาของเราเหมือนบิดามารดาของเขาเอง จึงกล่าวเพื่อระลึกถึง หรือไม่ก็เขากำลังระลึกถึงหรือคิดถึงบิดามารดาของเขา เพราะท่านต่างตรอมใจตายไปหมดแล้ว เนื่องจากมีอภิชาตบุตรซาตานอย่างเขานั่นแหล่ะ
     โดนแจกของลับ แสดงถึงการให้ความเคารพรักอย่างสูงสุดของผู้ให้ที่มีต่อผู้รับ เขาจึงได้ให้ของสำคัญเท่าชีวิตแก่เรา ดังนั้นใครแจกให้เรา ก็ขอบคุณเขาไป ไม่เป็นไรให้เขาเก็บเอาไว้ใช้เอง เพราะเราก็มีของเราอยู่แล้ว
     โดนด่าว่า "อันธพาล" แสดงว่า เขาเอ็นดูเราว่าเป็น เด็กอมมือ เด็กโง่น่ารัก เอะอะโวยวายก็น่ารัก ไม่ประพฤติปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของผู้ใหญ่ สร้างความรำคาญตามประสาเด็กอมมือ ซึ่งจิตของเด็กอมมือไม่ปรุงแต่ง ใสบริสุทธิ์ ตรงไป ตรงมา ไม่ดัจริต ไม่มีจริตจะก้าน และคงไม่มีเด็กอมมือที่ไหนจะฉลาดเท่าคนด่าหรอก ผู้ใหญ่ที่มีปัญญาและยึดหลักปฏิบัติที่ถูกต้องจะเข้าใจ จึงไม่ควรไปโกรธคนที่ด่าเราว่าอันธพาล ควรมองเขาด้วยความเอ็นดู

     นี่แหล่ะครับที่จำได้ อย่างไรก็ตาม 

     ใครด่าเราถ้าเราไม่รับคำด่านั้น คำด่านั้นก็เป็นของคนด่านั่นแหล่ะ แต่คนส่วนมากมักจะรับคำด่าทันทีที่ถูกด่า ก็เลยทุกข์และเครียดเพราะคำด่า คนที่ด่าเราเค้าสบายไปแล้ว แต่เราผู้ถูกด่ายังครุ่นคิดอยู่กับคำด่า 
     ฉันดีกับเธอขนาดนี้แล้ว ยังมาด่าฉันอีก
     ฉันทำอะไรให้ มาด่าฉันเนี่ย
     ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นพี่เป็นเพื่อนกันมานาน ยังมาด่ากันได้
     แน่มาจากไหน ถึงมาด่าฉัน
     .....
     .....
     .....
     ถ้าคิดแบบนี้ละก็ ทั้งเครียด ทั้งทุกข์

     คำด่าก็เหมือนคนส่ง e-mail หรือจดหมายส่งทางไปรษณีย์ให้เรา ถ้าเราไม่เปิดอ่าน มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น ไม่มีผลกระทบจิตใจเรา
     เสียงด่าว่า ก็เป็นเพียงแค่ลมจากปากของคน เป็นการสั่นสะเทือนของโมเลกุลอากาศ และถ่ายทอดโมเมนตัมมายังหูเรา หูของเราทำหน้าที่ Fourier Transform จนได้คลื่นเสียงฮาร์โมนิคมากมายส่งไปยังประสาททำให้ได้ยินเสียงนั้นและเราดันไปเข้าใจความหมายของมันเข้า จิตเราก็ไปปรุงแต่งซะก็สนุกกันใหญ่ สมมติเราไม่รู้ความหมายของเสียงนั้น เช่น เขาด่าเราเป็นภาษาสะวาฮีรี รับรองเรายังยืนยิ้มได้สบายใจเฉิบ จริงไหม โถ..เราโดนไต้ฝุ่นกระหน่ำยังไม่เป็นไรเลย
     เมื่อเราเข้าใจความหมายของคำด่า เขาด่าเราแล้วเราด่าตอบ เช่น เขาด่าเราว่า "ไอ้ควาย" เราก็ด่าเขาตอบบ้าง "มึงน่ะซิ ควาย" คำด่าของเรา มันอาจสะใจเรามากตอนกำลังด่า แต่รู้หรือไม่ว้่า เรากำลังประจานตัวเอง 
     และก็ถึงเวลาเจ้าหน้าที่เรียกคิวพอดีเลย เดี๋ยวนี้ทำพาสต์ปอร์ตใช้เวลาไม่นาน

Related Links:
ขันติเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์
จำนวนผู้อ่านบทความนี้ 1,412 ครั้ง (28กพ2555-1พย2556)


วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

บัณฑิตรังสีเทคนิคมหิดล 2554


ขอแสดงความยินดีกับเหล่าบัณฑิตรังสีเทคนิคมหิดลประจำปีการศึกษา 2554 ปีนี้มีบัณฑิตป้ายแดง 55 คน เกียรตินิยมอันดับ 1 จำนวน 7 คน และเกียรตินิยมอันดับ 2 จำนวน 11 คน




สี่ปีเต็มที่ทุกคนใช้เวลาในรั้วมหาวิทยาลัยมหิดลแห่งนี้ ที่อุดมไปด้วยเรื่องราวที่มีให้ได้เรียนรู้หลากหลาย มากมาย
สี่ปีเต็มร่วม 5,000 ชั่วโมง ที่ทุกคนใช้เวลาร่ำเรียนศาสตร์ทางรังสีเทคนิคอย่างหนัก สนุกสุดเหวี่ยง ร้องเพลงด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน โกรธกัน รักกัน มีเครียดบ้างคละเคล้ากันไป
สี่ปีเต็มที่ทุกคนสามารถผ่านกิจกรรมต่างๆมาได้อย่างดี ก็ถือว่าน่าภาคภูมิใจ
แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า สี่ปีเต็มที่เดินผ่านมานั้น มันเหมือนทุกคนเดินอยู่บนแผ่นไม้กระดานแคบๆที่พาดไว้ระหว่างโต๊ะสองตัว ถ้าเดินพลาดตกลงมา ก็มีครูบาอาจารย์คอยช่วยประคับประคองไม่ให้เจ็บตัวมาก

น้องๆจัดงาน Byenior ให้พี่ๆ
     ชีวิตนับจากวันนี้เป็นต้นไป เปรียบเสมือนว่า ทุกคนกำลังเดินบนแผ่นไม้กระดานแผ่นเดิมที่ไม่มีครูบาอาจารย์คอยช่วยประคับประคองใกล้ๆอีกแล้ว หากเดินไม่ดีพลาดพลั้งตกลงมาเจ็บตัวอย่างแรงแน่นอน เพราะฉะนั้น จงตั้งสติให้มั่น แล้วเดินไปอย่างมั่นใจ บัณฑิตทุกคนกำลังก้าวเดินเข้าสู่เส้นทางการทำงานความรู้ที่ได้เก็บสะสมไป ขอให้นำไปรับใช้สังคมอย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ในทุกจังหวะย่างก้าวของชีวิต


Related Links:
ส่งบัณฑิตรังสีเทคนิคขึ้นฝั่ง ๒๕๕๔