(354 ครั้ง)
หลังสอบ entrance เข้ามหาวิทยาลัยเสร็จในปี 2514 ผมและเพื่อนมัธยมโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษากรุงเทพฯรวม 4 คน (แต่ละคนปัจจุบันเป็น หมอ นายธนาคาร
สถาปนิก อาจารย์) ล่องใต้ไปเที่ยวสงขลา พักที่บ้านพักผู้พิพากษาพ่อของเพื่อน
บริเวณแหลมสิมิหลา
ใช้เวลาพักผ่อนที่นั่นประมาณ
1 สัปดาห์ คลายความเครียดหลังเตรียมตัวสอบอันยาวนานและเพิ่งสอบเสร็จ ระหว่างที่พักอยู่ที่นั่น
เราช่วยกันจัดโปรแกรมกันทุกวันไม่ขาดเลย ปาดังเบซาร์-มาเลเซีย เขาตังกวย ไปหาดใหญ่
ทะเลสาบ ฯลฯ เป็นการจัดที่ไม่ได้มีแผนการอะไรล่วงหน้า นึกอยากไปไหน ตกลงกันได้ ไปเลยครับ

วันหนึ่ง เราลงมติกันว่าจะไปพิชิตยอดเขาซึ่งสูงมากในความรู้สึกของเด็กๆอย่างพวกเราในตอนนั้น
ภูเขานี้อยู่ตรงปากทะเลสาบสงขลา ออกเดินทางแต่เช้า เตรียมน้ำคนละกระติก
กับอาหารแห้งพออิ่ม ชวนกันนั่งเฟอร์รี่ไปอีกฝั่งเพื่อปีนสำรวจเขาให้สนุกตามประสาเด็ก
ถึงเชิงเขาเดินไปอีกนาน หาทางขึ้นแต่ไม่มีทางขึ้น ต้องถามชาวบ้านแถวนั้น
ชาวบ้านบอกว่า
“ไอ้หนู ตรงไหนก็ขึ้นได้ แค่ปีนขึ้นไป
ใจถึงๆหน่อย”
พวกเราตัดสินใจปีนก็ปีน แล้วก็ค่อยๆเหนี่ยว โหน โยนตัว ดันตัวขึ้นไป
ขึ้นไปเรื่อยๆช้าๆ เราทั้ง 4
คนสนุกกับการปีนในช่วงแรกๆ
พอเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง ชักเริ่มลังเล จิตเริ่มตก กังวล
เริ่มมีบางคนหลุดคำพูดว่า
คนหนึ่ง...“ใครเป็นคนคิดวะ ลำบากชิบ...น่าจะไปเล่นน้ำทะเลดีกว่า” (เริ่มขัดแย้ง เริ่มบ่น
เริ่มโทษเพื่อน)
คนสอง...“อ้าว..แล้วมึงไม่ค้านแต่แรก
ลงมติกันแล้วนี่หว่า” (เริ่มเถียง เริ่มตอบโต้ ปกป้องเพื่อน)
คนสาม...“เย็นเพื่อน...อีกนิดนึงก็ถึงยอดแล้ว” (ปลอบใจเพื่อน ไม่ฟันธงใครผิดใครถูก
ไกล่เกลี่ย)
คนสี่....“เฮ้ย น้ำกินกูใกล้หมดและ” (เสนอปัญหาให้สถานการณ์ดูแย่ลง)
ผมจำไม่ได้ว่าผมเป็นคนไหน แต่มันจะมีบรรยากาศแบบนี้ระหว่างปีนขึ้น
แรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ แรงมาก็แรงไป จบแล้วก็จบกัน เพราะแรงแบบเพื่อนกัน
![]() |
เมื่คราวไปบรรยาย MRI ที่คณะแพทย์ฯสงขลา (2546) |
ถึงอย่างไร ความกังวลก็รบกวนจิตใจทุกคนมากขึ้นเรื่อยๆไม่มียกเว้น กังวลว่า
คนหนึ่งจะทนไหวไหม จะปีนถึงยอดไหม จะถึงยอดเขาเมื่อไหร่ซึ่งนั่นคือเป้าหมายร่วมกัน
กังวลมากเพราะอะไร เพราะเตรียมการไม่ดี ไม่ได้ศึกษาข้อมูลล่วงหน้า
(ถ้าเป็นสมัยนี้ค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตก่อนว่าไอ้ที่เรากำลังจะปีนนั้นสูงแค่ไหน
สภาพเส้นทางที่ปีนเป็นอย่างไร แพร๊บเดียวได้ข้อมูลเพียบ) น้ำไม่พอและอาหารอาจไม่พอ
ถ้าเตรียมการดี ความกังวลจะน้อยลงหรือไม่มีความกังวลเลย
ขณะกำลังปีนขึ้นนั้น สภาพของพวกเราจมอยู่ในป่ารกทึบและชัน แสงแดดแรงจ้าไม่สามารถผ่านทะลุใบไม้ที่ทับซ้อนกันหนาทึบลงมาถูกต้องผิวกายพวกเราเลย
จิตใจเราจดจ่ออยู่ที่ยอดเขาแต่มองไม่เห็นยอดเขา เห็นแต่ต้นไม้ และระหว่างนั้นไม่ได้เห็นความงดงามของพันธุ์ไม้เลย
คือ
“มอง...แต่ไม่เห็น มีก็เหมือนไม่มี”
มันมืดบอดไปเลย จิตใจไม่ได้อภิรมย์กับพันธ์ไม้ต่างๆนานาชนิด ได้แต่พยุงดันร่างกายขึ้นไปเรื่อยๆ ระหว่างทางนั้น
แม้แต่นกและสัตว์นานาชนิดเปล่งเสียงร้องขับกล่อมอย่างไพเราะก็ไม่ฟัง คือ
“ได้ยิน...แต่ไม่ได้ฟัง
ดังก็เหมือนไม่ดัง”
เหมือนไม่รับรู้ว่ามีเสียงนกเสียงกา ประสาทมันแยกไม่ออกไม่ยอมรับว่ามีเสียงนกและสัตว์ไพเราะอยู่แถวนี้ด้วยนะ
ความกังวลมันมีอยู่แน่นอกและเหนื่อยมากๆ.เสื้อผ้าของทุกคนเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และเพื่อนบางคนยังมีอารมณ์ขุ่นมัวกับเพื่อนที่เป็นต้นคิดเรื่องปีนเขา
คนหนึ่ง...“พอๆๆ...ลงเถอะวะ” (ตอกย้ำความขัดแย้ง)
คนสอง...“อะไรวะ ... มึงยอมแพ้หรอ”( ตัดสินฟันธง)
คนหนึ่ง...“กูไม่ไหวแล้ว ยังไม่เห็นยอดเขาเลย เหนื่อย
กูอยากลง” (ท้อจัด)
คนสาม...“งั้นมึงพักอยู่ตรงนี้ พวกกู 3 คนขึ้นต่อ หายเหนื่อยมึงค่อยตามขึ้นไป” (เห็นใจ ท้าทาย)
คนหนึ่ง...“เออๆ” พอเพื่อน 3
คนคล้อยตัวปีนขึ้นไป
มันก็ปีนขึ้นตามต่อไปติดๆ (ตัดสินใจ)
ประมาณเที่ยงวันถึงยอดเขาจุดหมายเสียทีใช้เวลาร่วม 4 ชั่วโมง เอาแล้วไง!! น้ำของทุกคนที่เตรียมมาหมดซะแล้ว เราจำเป็นต้องกินข้าวกับหยดน้ำที่เหลือนิดหน่อย
ที่ยอดเขาไม่มีที่ราบและสนามหญ้า สภาพเป็นป่ารก มีแดดร้อนจัด ลมแรงและได้กลิ่นอายทะเล
เราเดินหาจุดที่ทำให้เห็นและชื่นชมทิวทัศน์เมืองสงขลา เห็นทะเลในมุมสูงจากยอดเขา เมื่อมองทอดสายตาไปไกลๆได้เห็นเกาะหนู
เกาะแมว มโนไปว่าเกาะแมวกำลังไล่เกาะหนู จนน้ำทะเลปั่นป่วน เหมือนการ์ตูนทอมกับเจอรี่
เสียงบ่นเงียบไป มิตรภาพอันสวยงามที่เรามีต่อกันระหว่างเรียนเกือบถูกทำลายลงตอนขาขึ้น ทุกคนคลายความกังวลจนเกือบสิ้น และเริ่มได้ยินและฟังเสียงลมพัดผ่าน เสียงนกร้อง เสียงลิงดังมาไกลๆ สัมผัสได้ถึงความไพเราะแบบดิบๆ เดิมๆ มีวัดร้างซึ่งถูกปกคลุมด้วยไม้น้อยใหญ่
ประสาเด็กสิ่งนี้ทำให้ตื่นเต้นยิ่งนัก และจินตนาการบันเจิดไปเรื่อย รอบๆตัว เราเริ่มมองและเห็นพันธ์ไม้ต่างๆ
ที่คงอยู่ที่นี่มานานแล้ว และตอนนี้มีเราทั้ง 4 คนเป็นผู้มาเยือนเดี๋ยวพวกเราก็จะต้องจากไป อยู่นานไม่ได้
มีความจำเป็นอย่างยิ่งเพราะ อาหารและน้ำหมด และต้องรีบลงให้ทันก่อนมืดค่ำ กลัวพ่อแม่ของเพื่อนจะเป็นห่วง
ตอนปีนลงง่ายกว่า ไม่กังวล ใช้เวลาไม่มาก ผ่อนคลาย ได้เห็นความสวยงามหลายอย่าง พันธุ์ไม้นานาชนิด ได้ฟังเสียงไพเราะ ฟังเสียงขับกล่อมจากนก-ลิง เสียงลมพัดเป็น background มิตรภาพที่สวยงามยังอยู่แน่นแฟ้นและงอกเงยขึ้นอีก
“ยิ่งอยู่สูง ยิ่งมองไกล ฤทัยเสียว
เผลอแฟล๊บเดียว ก็ต้องลง อย่าสงสัย
มัวเพลิดเพลิน ไม่ยอมลง เดี๋ยวบรรลัย
อาทิตย์ตก เมื่อไหร่ ได้รันกู๊ (รู้กัน)”
อาทิตย์ตก เมื่อไหร่ ได้รันกู๊ (รู้กัน)”
Related Links: