วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บันทึกการเดินทาง: โคราชถึงศิริราช



     เรื่องหนัก-เบา ที่เขาใหญ่

ลำตะคอง (มองจากสวนเมืองพร)

สิบกว่าปีครับที่ไม่ได้ขับรถเส้นทางจากกรุงเทพฯ-สระบุรี-โคราช ปกติจะเหาะข้ามไปเลย
วันที่ 7-9 กันยายน 2555 สบโอกาสเหมาะ ที่ที่ผมทำงานอยู่คือ ภาควิชารังสีเทคนิค คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล นัดกันไปทั้งคณะเพื่อทำแผนกลยุทธ์ที่โรงแรมโรแมนติก เขาใหญ่  ไปทุกปีครับเพื่อทบทวนแผน แต่คราวนี้เป็นพิเศษหน่อย เป็นแผนรอบใหม่คือ พ.ศ. 2556-2560 ก็เหมือนการทำแผนยุทธศาสตร์หรือแผนกลยุทธ์ ที่ทุกๆหน่วยงานทำกัน เพื่อให้ทุกคนมองเห็นเป้าหมายและทิศทางที่จะเดินไปด้วยกัน สำรวจตัวเอง สำรวจภายนอกองค์กร หาช่องว่าง มองโอฟี่หรือ OFI (opportunity for improvement) คือหาทางแก้ไขปรับปรุง จะใช้วิธีการไหนก็ว่ากันไป แต่ที่ทำงานตอนนี้ใช้วิธีการของ TQA หรือ EdPEx

เมื่อพูดถึงการทำแผนกลยุทธ์ ก็ให้นึกถึงเพลงๆหนึ่งอีกสักครั้ง เชื่อว่าชาวเราหลายๆคนคงเคยฟัง และอีกหลายคนชื่นชอบ ชื่อเพลงว่า "ทหารใหม่ไปกอง" ที่ยอดรัก สลักใจ ร้องเอาไว้ เนื้อเพลงเป็นทำนองว่า ทหารใหม่จะต้องไปทำหน้าที่ในแนวหน้าสองปี ต้องมีการวางแผนและเตรียมการก่อนไป มีความหมายออกแนวการวางแผนกลยุทธ์ของทหารใหม่ ลองหาฟังดูครับในท่อนที่ว่าต่อไปนี้ค่อนข้างชัดเจน
"เป็นห่วงแม่คนแก่คนเฒ่า น้อยไปเฝ้าดูแม่ด้วยหนา หมูอย่าเลี้ยงมันเสี่ยงนะแม่ ตอนนี้แย่ข้าวลงราคา นาแปลงไหนเอาให้เขาเช่า และได้จำนำข้าวนะจ๊ะแม่จ๋า ถ้าน้อยเขามีแฟนใหม่ ไปขอละมัยให้ผมแม่จ๋า"
นอกจากนี้ เนื้อเพลงมีการอัญเชิญพระเครื่องติดตัวไปด้วยหลายวัด รอบครอบไหมล่ะ

ผมร่วมกับทีมงานทำแผนกลยุทธ์ที่เขาใหญ่ ขับรถไปเองครับ ต้องมีการเตรียมการเหมือนกัน
ก่อนออกเดินทาง เช็คสภาพรถซะก่อน ตามระบบควบคุมคุณภาพ ลมยางทั้งสี่ล้อและยางอะไหล่ สภาพยาง น้ำมันเบรก สายพาย สภาพท่อน้ำและระดับน้ำระบายความร้อนเครื่องยนต์ ระดับน้ำที่ปัดน้ำฝน ระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ไฟใหญ่(สูง-ต่ำ)-หรี่-เลี้ยว-เบรก เคลือบกระจกด้วยน้ำยากันน้ำเกาะเพราะเจอฝนแน่ๆ แอร์ ฯลฯ แล้วก็เติมน้ำมันเต็มถังครับ
ปกติจะไปกันหมดบ้าน แต่ตอนนี้ลูกๆโตแล้วจึงไม่ว่างไปกับเรา ที่สุดลูกชายคนเล็กตัดสินใจไปด้วย ทำแผนครั้งนี้จึงไปกันสองคนพ่อลูก ทว่าก่อนไปดูเหมือนลูกชายจะเริ่มเป็นหวัด แม่จึงต้องตามไปด้วย สรุปคือไปกันสามคนพ่อแม่ลูก

ระหว่างขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข 2 จากสระบุรีประมาณ 50 กิโลเมตรถึงฟาร์มโชคชัย ถนนเป็นแบบวิ่งออก 3 ช่องจราจร วิ่งเข้ากรุงเทพฯอีก 3 ช่องจราจรแยกกัน (บางช่วงตอนเข้าเมือง จะเข้า 5 ช่อง ออก 5 ช่อง) ขึ้นเขาลงเขาเป็นระยะๆ สะดวกครับ แต่บางจังหวะรถบรรทุกจะวิ่งคู่กันสองช่องซ้ายมือ เหลือช่องขวามือสุดเพียงช่องเดียว ทั้งที่มีป้ายเตือนห้ามรถบรรทุกใช้สองช่องขวามือแต่คนขับรถบรรทุกไม่ปฏิบัติตาม รถเก๋งซึ่งใช้ความเร็วสูงหน่อยจึงขับมาออกันทำให้ชะลอตัว พื้นผิวจราจรบางช่วงขรุขระมากเสียหายครับควรซ่อมด่วน
จากฟาร์มโชคชัยขับต่อไปอีก 10 กิโลเมตรถึงทางแยกเลี้ยวขวาไปเขาใหญ่ จากทางแยกขับมุ่งไปทางเขาใหญ่ต่อไปอีก 15 กิโลเมตรถึง Palio  แล้วขับต่อจาก Palio ไปอีก 1 กิโลเมตร ก็ถึงโรงแรมโรแมนติก ถนนเส้นนี้ช่วงแรกเป็น 4 ช่องจราจร ไปสองกลับสอง ต้องขับระวังนิดนึง และพอใกล้จะถึงที่หมาย ถนนจะแคบลงอีกเหลือ 2 ช่องจราจร ไปหนึ่งกลับหนึ่ง ต้องระวังมากขึ้น
ด้านหน้าทางเข้า Palio เขาใหญ่
ด้านใน Palio เขาใหญ่
ตลอดเส้นทางจากสระบุรีถึงที่หมายนั้น ทีมของเรามีความเห็นตรงกันว่าทิวทัศน์สองข้างทางดูแปลกตา ไม่เหมือนเส้นที่ไปพัทยาหรือหัวหิน ทีมของเราออกจากบ้านแถวสี่แยกบ้านแขกตั้งแต่ห้าโมงเช้า ถึงโรงแรมโรแมนติกสี่โมงเย็น ใช้เวลาเดินทางห้าชั่วโมง รถเยอะการจราจรไม่ติดขัดครับแต่ทีมของเราแวะระหว่างทางบ่อยมาก

ทำแผนเสร็จ ขากลับแวะ ขับรถย้อนขึ้นไปลำตะคอง ไปทานข้าวที่สวนเมืองพร บรรยากาศดีมาก เย็นสบายวันนั้นไม่มีฝนตกขณะที่เราทานข้าวกัน เลยเลือกนั่งด้านนอก ใกล้ธรรมชาติให้มากที่สุด มีสมาชิกจากศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกมาสมทบด้วย สนุกกันใหญ่
สวนเมืองพร อาหารอร่อยๆกับบรรยากาศรื่นรมย์
เสร็จสับ ขับรถกลับกรุงเทพฯ ขับไปเรื่อยๆตามเส้นทางเดิมตอนขามาครับ แวะฟาร์มโชคชัย ที่ฟาร์มโชคชัยเห็นสเต็กต้นตำหรับแล้วอดใจไม่ไหว จัดไปหนึ่งก้อนอยู่เลย อร่อยมาก ส่วนสมาชิกที่เหลือบอกว่าไม่ไหวแล้ว มันจะล้นกระเพาะอยู่แล้ว
Original Steak จากฟาร์มโชคชัย  

กลับจากเขาใหญ่ถึงบ้านที่กรุงเทพฯวันอาทิตย์ประมาณสองทุ่ม

เรื่องชวนขนลุกขณะเฝ้าไข้
เรื่องนี้ เป็นเรื่องคนละความรู้สึกกับเขาใหญ่ จากรื่นรมย์สู่ลุ้นระทึก 
   กลับจากเขาใหญ่แล้ว วันรุ่งขึ้น วันจันทร์ที่ 10 กันยายน อาการหวัดของลูกชายทุเลาลงแล้ว แต่ภรรยาเริ่มไม่สบายน่าจะติดเชื้อจากลูกชาย ตกเย็นอาการเริ่มหนัก ตัวร้อน เวียนหัว อาเจียน จึงต้องไปโรงพยาบาลศิริราช พบแพทย์ ENT ที่คลินิกพิเศษ หมอสั่งตรวจเลือดและเสมหะ เพื่อดูว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่หรือไม่ ต้องรอฟังผลประมาณ 4 ชั่วโมง แพทย์ ENT ส่งให้แพทย์เวรรับช่วงต่อ
แพทย์ ENT สั่งการว่า ถ้าผลออกมา positive ว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ก็ให้นอนโรงพยาบาลเพราะคนไข้ มีอาการ severe ถ้าผลออกมาเป็น negative ก็ให้นอนโรงพยาบาล คือไม่ว่าอย่างไรก็นอนโรงพยาบาล ระหว่างรอผลแล็บ ใจมันระทึกและลุ้น ถ้าผลแล็บออกมาเป็น negstive อันนี้คงเรื่องใหญ่ เนื่องจากต้องหาต้นตอให้ได้ว่าติดเชื้อตัวไหน ไข้หวัด 2009 หรือไข้หวัดนก หรืออะไร ทั้งๆที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จิตใจของผมตอนนั้นก็ยังแกว่ง แต่ก็สงบเร็วและยอมรับความจริงที่มันจะเกิดขึ้นทุกอย่างครับ โชคยังดีครับที่ผลแล็บออกตอนห้าทุ่มคืนนั้นว่า positive แพทย์ ENT มาดูอาการพร้อมแพทย์เวร และแนะนำให้กลับบ้านก่อนแล้วมานอนโรงพยาบาลเช้าวันอังคารเพราะกลัวติดเชื้อเนื่องจากไม่มีห้องพิเศษ

เช้าวันอังคารผมพาภรรยามา admit ชั้น 5 ตึกที่ติดกับคณะเทคนิคการแพทย์ ไม่มีการให้ยาและให้น้ำเกลือในวันแรกนี้ นอนพักอย่างเดียวปล่อยให้ร่างกายสร้างภูมิขึ้นมาสู้กับมัน วันที่สองจึงเริ่มให้ยาและน้ำเกลือครับ ในวันแรกนั้น ผมอยู่เฝ้าพร้อมกับลูกคนเล็กตั้งแต่เช้าจนสองทุ่ม ภรรยาบอกให้กลับเถอะนอนคนเดียวได้ ผมกับลูกจึงกลับ ถึงบ้านแล้วนอนหลับ เกือบจะหลับสนิทแล้วเชียว

ทันใด!! ประมาณห้าทุ่ม ภรรยาโทรมาบอกให้ผมรีบมาด่วนเลย นอนไม่ได้แล้ว เพราะมีคนมานอนด้วย ผมจึงรีบนำพระที่บ้านไป พอถึงในห้อง เห็นภรรยากระวนกระวายเหงื่อแตก ก็ปลอบใจ แล้วถามว่าเรื่องเป็นอย่างไง แกบอกว่าระหว่างนอนเคลิ้มหลับ มีคนแต่งกายชุดคนไข้สีอิฐอ่อนๆมานอนบนเตียงด้วย ตกใจตื่น ไม่มีอะไร นอนต่อพอเคลิ้มๆมาอีกและ จึงต้องเรียกให้ผมมานอนเป็นเพื่อน
พอผมเข้าใจเรื่องแล้ว ผมและภรรยาก็เริ่มกราบบูชาหลวงพ่อพรมวัดช่องแคที่นำไปด้วย และสวดคาถาชินบัญชร เสร็จแล้วผมก็นอนที่โซฟารับแขก จนถึงเช้า หลับสบายดี
พอตื่นขึ้นตอนเช้า ภรรยาเล่าให้ฟังว่า เขาโกรธที่เรานำพระมาจึงทำลมพัดอย่างแรงในห้องเมื่อคืน แต่ภรรยาก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะทำบุญกรวดน้ำไปให้ ทำให้สงบลงได้ ในคืนต่อๆมาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรแล้ว สงบเรียบร้อยดี

ตอนนี้ภรรยากลับมาพักที่บ้านและหายดีแล้วครับ  
เป็นเรื่องแปลกครับ รับรู้และรู้สึกได้ อธิบายยาก

ปรากฏการณ์ใดที่เกิดซ้ำในโดเมนที่สามารถวัดได้ มี reproducibility และ precision ดี มันก็ต้องเป็นเช่นนั้น แต่เรื่องนี้ มันอยู่ในโดเมนที่วัดยากมาก แค่รับรู้และรู้สึกได้เท่านั้น จึงต้องมองด้วยพื้นฐานความเข้าใจ ไม่ปักใจไปทางใดทางหนึ่ง คือต้องไม่ลำเอียงว่าใช่หรือไม่ใช่จากข้อมูลที่มีอยู่น้อยนิด

อย่างไรก็ตาม สำหรับผมเอง เคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้เหมือนกัน ตอนที่ไปทำแผนกลยุทธ์นั่นแหล่ะ ที่โรงแรมจอมเทียนปามล์บีชพัทยาโฮเทล เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว โรงแรมซึ่งก่อนหน้านั้นหลายปีเกิดไฟไหม้ใหญ่และทำให้มีผู้เสียชีวิตร่วมร้อยคน

ยังมีประสบการณ์แปลกๆทำนองลึกลับ อธิบายยากแบบนี้ ที่เกิดกับตัวผมเองอีกเมื่อ 20 ปีมาแล้ว ว่างๆจะเล่าให้ครับ

Related Links:
มหัศจรรย์จากงานกาชาด
คำสาบานของอู๊ด

วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รังสีเทคนิคไทยสู่ประชาคมอาเซียน: วิเคราะห์แบบ SWOT


(4,142 ครั้ง)
ในโอกาสวันรังสีเทคนิคโลก (World Radiogrphy Day) เวียนมาถึงอีกวาระหนึ่งในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2555 นี้ ซึ่งเป็นวันที่ศาสตราจารย์เรินท์เกินค้นพบเอกซเรย์เมื่อ 117 ปีที่แล้ว จึงขอถือโอกาสนี้ ชวนชาวเราคิดอะไรเล่นเพลินๆ มองเพลินๆไปรอบๆตัว สบายๆ มองภายนอก มองภายใน อย่างมีสัมมาสติ เห็นอะไรหรือยังครับ 

เหลียวหลังมองอดีตที่ผ่านมาประมาณ 49 ปีมาแล้ว วิชาชีพรังสีเทคนิคได้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2506 นับจากที่มีการตั้งโรงเรียนรังสีเทคนิคขึ้นในมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดล) ต่อมาก็มีการจัดตั้งสถาบันผลิตรังสีเทคนิคขึ้นในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ทั้งระดับปริญญาตรีและระดับอนุปริญญา ซึ่งระดับอนุปริญญาที่ทำงานอยู่นั้น ในปัจจุบันนี้แต่ละคน ได้เพิ่มวุฒิทางการศึกษาของตัวเองเป็นปริญญาตรีแล้วเป็นส่วนใหญ่
มีการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสมาคมวิชาชีพ ได้แก่ สมาคมรังสีเทคนิคแห่งประเทศไทย จัดตั้งเมื่อ พ.ศ. 2516 และยังมีการจัดตั้งสมาคมขึ้นอีกหลายสมาคม เช่น สมาคมรังสีการแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมศิษย์เก่ารังสีเทคนิครามาธิบดี สมาคมรังสีเทคนิคโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สมาคมศิษย์เก่ารังสีเทคนิคมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นต้น

ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น มีทั้งสุขและทุกข์คลุกเคล้ากัน  มีความเห็นแตกแยกกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคน โดยเฉพาะกับคนหมู่มาก สังคมของชาวเราได้ผ่านประสบการณ์ต่างๆและมีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมาย  เราได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้นร่วมกัน ทำให้ชุมชนของเราเจริญและเติบโตขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น เป็นไปตามเหตุและปัจจัย อาจจะมองดูเชื่องช้าบ้างในสายตาของหลายคน แต่มันก็มีพัฒนาการของตัวมันเองอย่างต่อเนื่อง ขึ้นๆ-ลงๆ เป็นเรื่องธรรมดา ในภาพรวมแล้วผมเห็นว่าโดยเฉลี่ยมันพัฒนาขึ้น ในขณะที่โลกก็กำลังหมุนไปอย่างต่อเนื่อง
พ.ศ.  2547 มีเรื่องของใบประกอบโรคศิลปะฯเกิดขึ้น ซึ่งชาวเราส่วนใหญ่ก็คงสอบผ่านเกณฑ์และได้รับเรียบร้อยไปแล้วร่วม 3,000 คน (ภายในอีก 5 ปีนับจากนี้ จำนวนจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณกว่า 4,000 คน) ส่วนน้อยที่ยังมีปัญหาอยู่บ้าง

     ชาวเราคงได้ยินบ่อยและนานแล้วกับคำว่า "ไม่มีพรมแดน" เช่น รักไม่มีพรมแดน โลกไม่มีพรมแดน หรือโลกไร้พรมแดน (globalization) เป็นต้น เพราะอะไร คำว่าไม่มีพรมแดนโดยเฉพาะโลกไร้พรมแดนจึงเกิดขึ้น เหตุผลสำคัญยิ่งอันหนึ่งคือ เทคโนโลยีทางการสื่อสารพัฒนาเร็วมาก และครองโลกไปแล้ว
การที่เทคโนโลยีการสื่อสารและคอมพิวเตอร์มันพัฒนาเร็วมาก รวมถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านรังสีทางการแพทย์ด้วย  จึงมีการพูดถึงความเป็นไปในโลกศตวรรษที่ 21 กันมากขึ้นเรื่อยๆและบ่อยขึ้น  นี่ก็ผ่านมาถึงปีที่ 12 (ค.ศ. 2012) ของศตวรรษนี้แล้ว อย่าประมาทครับ เพราะบางคนอาจจะอึดมาก อาจมีอายุยืนจนถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 21 การปรับตัวเราในทุกๆเรื่องทั้ง องค์ความรู้ ร่างกายและจิตใจ เพื่อให้อยู่รอดได้อย่างถูกต้อง จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาให้มากๆ โดยเฉพาะระยะเวลาอันใกล้นี้ ประชาคมอาเซียนจะมาแล้ว
ในเรื่องเทคโนโลยีการสื่อสารและคอมพิวเตอร์ ชาวเราจะเห็นว่า เราสามารถชมภาพข่าวสดๆร้อนๆ และแชร์ลิงค์กันในสังคมไซเบอร์ ทั้ง facebook  ทั้ง twitter และอีกหลายช่องทางแพร่กระจายรวดเร็วมาก ทำให้เราทั้งได้ใช้ประโยชน์และเครียดจากการรับรู้ได้เร็วขึ้น ถ้าเราเปิดช่องรับข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นเอาไว้เรียกว่าบริโภคแบบไม่เลือก ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ โทรศัพท์ Internet ฯลฯ เราอาจรู้สึกว่าข้อมูลข่าวสารเหล่านั้นไหลทะลักเข้ามาท่วมท้น ล้นพุง จนทำให้เราบางครั้งเอียนอยากจะอวก
ในท่ามกลางภาวการณ์แบบนี้ ชาวเราจะต้องเตรียมรับมืออย่างไรเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้อย่างมีความสุขและสมภาคภูมิ โดยไม่ถูกเย้ยหยันจากสังคมรอบข้าง หรือตกโลก (หลุดโลก) ไปเลย
ประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการใช้ภาษาก็น่าสนใจ เพราะค่อนข้างชัดเจนว่า เกิดวิวัฒนาการของการใช้ภาษา เนื่องจากมีการใช้ภาษาถ้อยคำต่างๆในโลกไซเบอร์ที่แปลกประหลาด ต้องใช้เวลามากเพื่อทำความเข้าใจ เช่น เกรียน จุงเบย ฟิน ฯลฯ

เอาแบบเป็นงานเป็นการสักครู่.... ชาวเราหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า แผนกลยุทธ์ (strategic planning) ขอเล่าอีกครั้งนะครับ ขอตั้งข้อสังเกตว่า ชุมชนของชาวเรา จะถึงขั้นต้องมารวมหัวกัน ระดมสมอง (brain storm) ร่วมกัน เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์หรือแผนกลยุทธ์หรือไม่??? หมายความว่า การร่วมกันคิดวางแผนให้ชัดเจน เพื่อกำหนดว่า ชุมชนของเราจะวางตำแหน่งหรือกำหนดบทบาทของเราอย่างไรให้เหมาะสมในช่วงระยะเวลา 5-20 ปีจากนี้ไป
แม้จะเป็นสิ่งที่หลายคนบอกว่ายากและเป็นไปไม่ได้ที่ชาวเราจะมาร่วมกันทำสิ่งนี้ แต่ผมก็ยังอยากจะคิดว่าควรอย่างยิ่งถ้ามันมีโอกาสเป็นไปได้สักนิดหนึ่งก็ยังดี
  
ผมฝันไปว่าชุมชนของเรา ขอเรียกว่า ชุมชนรังสีเทคนิคไทย (Thai RT community) มาร่วมกันวิเคราะห์ปัจจัยทั้งภายในชุมชนของชาวเราและภายนอก ทำกันแบบสบายๆ เล่นๆ ขำๆ แล้วทำให้ชาวเรามองเห็นภาพของสิ่งต่างๆได้ชัดเจนขึ้น และนำไปสู่แนวทางการร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์หรือวางแผนกลยุทธ์ ได้อย่างมีประสิทธิผลไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมากเกินไป เพื่อให้การวางตัวของชุมชนของเราในอนาคตทั้งใกล้และไกลเป็นไปอย่างรอบครอบและอย่างที่ควรจะเป็น เฉกเช่นคำพูดที่ว่า "รวมกันเราอยู่ แยกกันเราตาย" ...โอเค..ตื่นได้



     การกำหนดยุทธศาสตร์นั้น อาจเริ่มด้วยวิธีการวิเคราะห์ที่เรียกว่า SWOT analysis คำว่า SWOT (สะว็อต) เป็นการนำอักษรตัวแรกของคำว่า strength (จุดแข็ง) weakness (จุดอ่อน)  opportunity (โอกาส) และ threat (ภัยคุกคาม) มารวมกัน

ดังนั้น SWOT analysis จึงเป็นวิธีการวิเคราะห์ที่พิจารณาถึงสิ่งแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในของชุมชนรังสีของชาวเรา ผมขอเสนอมุมมองในเรื่องนี้เป็นโมเดลหนึ่งเพื่อศึกษาร่วมกัน โจทย์ของเรื่องนี้อยู่ที่ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. 2558 โดยผมจะนำข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และจากการได้พูดคุยกับหลายๆภาคส่วน เพื่อเป็นแนวทาง อย่าไปยึดติดว่าต้องเป็นตามนี้นะครับ

โอกาส พิจารณาสิ่งแวดล้อมภายนอกชุมชนรังสีเทคนิค ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นโอกาสที่จะสามารถนำมาเป็นประโยชน์ได้ ตัวอย่างเช่น
ประชาคมอาเซียน การที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นโอกาสของเราหรือไม่เพราะทำให้เราต้องปรับตัวให้สอดรับกับทิศทางการเดินของ AECโดยเฉพาะการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของเราให้สูงขึ้นแม้หลายคนจะเข้าใจว่ามาตรฐานและคุณภาพของรังสีเทคนิคไทยอยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศในอาเซียนนอกจากนี้เป็นช่องทางให้เกิดเครือข่ายรังสีเทคนิคระหว่างประเทศมากขึ้น
โลกในศตวรรษที่ 21 พัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสารและคอมพิวเตอร์ในศตวรรษที่ 21 ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว เกิดประโยชน์ต่อการจัดการศึกษา การวิจัย และการทำงานในวิชาชีพอย่างมาก ทำให้การเรียนรู้ทำได้รวดเร็ว เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและสะดวก การทำงานสะดวกสบายมากขึ้น และยังเป็นช่องทางนำไปสู่โอกาสการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆโดยนักรังสีเทคนิคเอง
เทคโนโลยีรังสีทางการแพทย์ เทคโนโลยีการสร้างภาพทางการแพทย์และการรักษาด้วยรังสีพัฒนาไปอย่างมากนั้นเป็นโอกาสหรือไม่??  ยกตัวอย่างทางรังสีวินิจฉัย เช่น การสร้างภาพเพื่อวินิจฉัยโรคมีความก้าวหน้ามากขึ้นอย่างมาก มีความซับซ้อนมากขึ้น และจะเกิด paradigm shift จากภาพแอนาลอกเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบอย่างแน่นอน จากภาพที่เดิมเป็นการแสดงภาพรังสีเชิงกายวิภาค ตามมาด้วย functional image ต่อมาก็ molecular image เป็นต้น  สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ชาวเรามีโอกาสได้แสดงบทบาทในหน้าที่รับผิดชอบที่สูงขึ้น โดดเด่นขึ้น ภายใต้กระบวนการการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
การยอมรับจากสังคมที่มีการศึกษา  สังคมที่มีการศึกษาเริ่มมองเห็นความสำคัญของวิชาชีพรังสีเทคนิคมากขึ้นตามลำดับ สังเกตได้จากการออกกฎหมายให้ผู้ประกอบวิชาชีพรังสีเทคนิคต้องมีใบประกอบโรคศิลปะฯ ซึ่งเป็นสิ่งรับรองหรือรับประกันว่าสังคมจะได้รับบริการทางรังสีที่ดีและปลอดภัย  สิ่งนี้เป็นโอกาสหรือช่องทางนำไปสู่การพัฒนาจากคณะกรรมการวิชาชีพเป็นสภาวิชาชีพได้ง่ายขึ้นหรือไม่

อุปสรรค มีอะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคหรือเป็นภัยคุกคาม ตัวอย่างเช่น
การเคลื่อนย้ายอย่างเสรี การรวมกันเป็นประชาคมอาเซียน ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีของ skilled labor หรือแรงงานมีฝีมือ อย่างน้อยในขณะนี้จำนวน 8 วิชาชีพ ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล วิศวกรรม การสำรวจ บัญชี สถาปัตยกรรม และการท่องเที่ยว ที่มีการทำข้อตกลงร่วมกัน (MRA) แล้ว ในระยะเวลาอันใกล้นี้ จะเป็นการขยายโอกาสไปถึงการให้มีการจ้างงานนักรังสีเทคนิคจากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศในอาเซียน เข้ามาแย่งงานเราทำ เพราะค่าตอบแทนของไทยสูงกว่าหลายประเทศในอาเซียนยกเว้นประเทศสิงคโปร์เท่านั้น สิ่งนี้จะเป็นอุปสรรคหรือไม่??? 
     ในความเห็นของผม น่าจะมีความเป็นไปได้ที่นักรังสีเทคนิคจากบางประเทศในอาเซียนยกพลบุกประเทศไทย ด้วยเหตุผลค่าตอบแทนที่สูงกว่าประเทศของเขา (ดูจุดอ่อน..ค่าตอบแทน)  ค่าครองชีพพอกัน คนไทยอัธยาศัยดี เมืองไทยน่าอยู่ติดอันอันต้นๆของโลก และที่สำคัญกำลังคนด้านรังสีเทคนิคของไทยขาดแคลน (ดูจุดอ่อน..กำลังคน)ให้จับตาดูฟิลิปินส์ให้ดี เพราะมีการผลิตบัณฑิตรังสีเทคนิคระบบเดียวกับไทย และมีการสอบขึ้นทะเบียน แต่ค่าตอบแทนต่ำกว่านักรังสีเทคนิคของไทย โอกาสทีฟิลิปินส์จะบุกไทยสูงที่สุด
แรงเสียดทานต่อความก้าวหน้า แรงเสียดทานจากภายนอกที่เกิดจากความไม่เข้าใจในวิชาชีพรังสีเทคนิค เป็นแรงต้าน เป็นอุปสรรค ที่ทำให้ระบบและกลไก ที่จะไปผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าในวิชาชีพเป็นไปอย่างเชื่องช้า หรือไม่ เพราะได้ยินหลายคนในวิชาชีพใกล้กันกับชาวเราพูดว่า รังสีเทคนิค เรียนแค่นี้ก็พอแล้ว ทำงานได้แล้ว
สังคมส่วนหนึ่งไม่รู้จัก ประชาชนโดยทั่วไปยังไม่ค่อยรู้จักนักรังสีเทคนิค ไม่รู้จักวิชาชีพรังสีเทคนิค ว่าเป็นอย่างไร ทำงานกันอย่างไร ความก้าวหน้าเป็นอย่างไร ประชาชนรู้แต่เพียงว่าถ้าเป็นรังสีละก็มันอันตรายไม่อยากจะเข้าใกล้ (ไม่รวมถึงชาวเราบางคนนะครับ)???  ตัวอย่างที่ผมพบโดยตรงกับตัวเองคือ ทุกๆปีที่มีการรับนักศึกษาเข้าเรียนรังสีเทคนิคในต้นปีการศึกษา ผู้ปกครองของนักศึกษาจะถามผมด้วยคำถามที่สะท้อนสิ่งที่กล่าวข้างต้น คือ เรียนรังสีแล้วเป็นหมันหรือไม่?”  เป็นต้น เป็นคำถามยอดฮิตมาก
ความเสี่ยงในการทำงาน นักรังสีเทคนิคจำนวนไม่น้อยต้องทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงมาก ไม่ใช่เสี่ยงเรื่องอันตรายจากรังสี ในที่นี้ผมหมายถึง ความเสี่ยงของการปฏิบัติหน้าที่ที่ผิดกฎหมาย เช่น ฉีด contrast media เข้าทางหลอดเลือดดำ ซึ่งตามมาตรฐานและสมรรถนะของนักรังสีเทคนิคที่กำหนดโดย ก.ช. ไม่สามารถทำได้ และหลักสูตรด้านรังสีเทคนิคระดับปริญญาตรีก็ไม่ได้สอนเรื่องนี้  แต่นักรังสีเทคนิคถูกสั่งให้ทำทั้งที่กฎหมายไม่ได้รับรองให้ทำได้  จึงเป็นอุปสรรคที่สร้างความอึดอัดลำบากใจให้กับนักรังสีเทคนิคอย่างมากมาย
เทคโนโลยีรังสีทางการแพทย์ สิ่งที่เป็นโอกาสก็อาจเป็นภัยคุกคามได้เช่นกัน คือเทคโนโลยีทางรังสีที่พัฒนาไปมากนั้นเป็นภัยคุกคามเราใช่หรือไม่??? หมายความว่า หลายคนอาจมีปัญหากับการต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใครที่ปรับตัวไม่ทันหรือไม่ยอมปรับตัวในส่วนนี้ก็จะทำงานลำบากและอาจถึงขั้นไม่มีความสุขหรือไม่สนุกกับการทำงานไปเลย ขอแนะนำว่า ให้มองต้นไม้เป็นครูของเราครับ ต้นไม้จะเสียดยอดสูงเด่นได้ ต้องหยั่งรากให้ลึก หากต้นไม้สูงแต่รากไม่ลึก แค่ถูกลมกระโชกเบาๆก็ล้มแล้ว

จุดแข็ง สำหรับสิ่งแวดล้อมภายในชุมชนเราจะพิจารณาดูว่า มีอะไรบ้างที่เป็นจุดแข็ง
การวินิจฉัยโรคและการบำบัดโรคด้วยรังสี เป็นจุดแข็ง เพราะถึงอย่างไรวิธีการเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ตลอดไปในทางการแพทย์ (ของตาย) ยิ่งทันสมัยยิ่งใช้ไม่มีทางสูญพันธ์??? จนชั่วนิจนิรันด์ (หรือที่คนลาวพูดว่า อสงไขย (infinitely) ) เป็นแบบนี้ใช่หรือไม่
สถาบันผู้ผลิตบัณฑิตรังสีเทคนิค เรามีสถาบันผู้ผลิตบัณฑิตรังสีเทคนิคที่ดี มีการประกันคุณภาพอย่างจริงจังและสม่ำเสมอเช่น การประเมินโดย ก.ช. สกอ. สมศ เป็นต้น
ความสามารถของนักรังสีเทคนิค นักรังสีเทคนิคมีความรู้ดี มีความเชี่ยวชาญทางรังสีเทคนิคทั้ง 3 สาขา นักรังสีเทคนิคทุกคนมีคุณภาพสูงอยู่ในระดับ super RT เป็นที่ยอมรับของสังคม???..และมีพื้นฐานกระบวนการทำวิจัยที่ดี เนื่องจากผ่านการเรียนหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขารังสีเทคนิค ที่ผสมผสานศาสตร์ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และวิชาชีพเข้าด้วยกัน ซึ่งแตกต่างกับนักรังสีเทคนิคในบางประเทศที่เน้นเฉพาะวิชาชีพเท่านั้น
บุคลิกภาพและอุปนิสัยของนักรังสีเทคนิค นักรังสีเทคนิคส่วนมากมีความอ่อนโยน นุ่มนวล รับผิดชอบ มีบุคลิกภาพดี อัธยาศัยดี ยิ้มง่าย มีความอดทน อดกลั้น เหมือนขั้วแอโนดของหลอดเอกซเรย์ มีคุณธรรมและจริยธรรมสูง มีความตื่นตัวในการทำงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น???

องค์กรวิชาชีพรังสีเทคนิค ชุมชนของชาวเรามีการรวมกลุ่มเป็นองค์กร (สมาคมฯ) หลายองค์กรและแต่ละองค์กรก็มีพัฒนาการที่ดี???

จุดอ่อน ของชุมชนเรา สิ่งที่เป็นจุดแข็งก็อาจเป็นจุดอ่อนได้เหมือนกัน

ทักษะด้านภาษา
ขาดทักษะการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ เพราะภาษาอังกฤษถูกใช้เป็นภาษากลาง เช่น ประชาคมอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2558 ก็กำหนดให้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางที่ใช้สื่อสารกันในอาเซียน 

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา มีบางคนบอกว่า คนไทยหลายคนแม้จะพูดภาษาไทยให้คนไทยฟัง บางครั้งคนฟังยังไม่เข้าใจหรือเข้าใจยากเลย ขณะที่บางคนดัดจริตมาก คือ ฟังคนไทยพูดภาษาไทยแท้ๆกลับบอกว่าไม่เข้าใจ พอพูดเป็นภาษาอังกฤษงูๆปลาๆกลับบอกว่าเข้าใจง่ายกว่า อันนี้งงกับคนสไตล์นี้จริงๆ

  ค่าตอบแทน จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานเมื่อมกราคม 2554 เรื่องค่าตอบแทนพนักงานสายงานด้านสุขภาพภาคเอกชนทั่วประเทศ พบว่า ค่าตอบแทนสำหรับนักรังสีเทคนิคอยู่ในระดับที่สูงพอสมควร เมื่อเทียบเคียงกับวิชาชีพอื่นในกลุ่มวิชาชีพด้านสุขภาพ ทั้งนี้ไม่รวมแพทย์และทันตแพทย์  แต่ถ้าหากดูในภาครัฐ อัตราค่าตอบแทนก็จะลดต่ำลงมาอีก อย่างไรก็ตาม ค่าตอบแทนนี้ยังต่ำเมื่อเทียบกับค่าตอบแทนสำหรับนักรังสีเทคนิคในประเทศสิงคโปร์ ที่มีอัตราค่าตอบแทนเริ่มต้นที่ 80,000-100,000 บาท แต่ก็ยังสูงกว่าประเทศอื่นในอาเซียนเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นแรงดึงดูดนักรังสีเทคนิคจากบางประเทศในอาเซียนให้เข้ามาทำงานในประเทศไทย

       สำหรับภาคการจัดการศึกษา ต้องพูดความจริงตรงๆครับว่า ค่าตอบแทนอาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัย สำหรับอาจารย์ที่จบใหม่ (จบปริญญาเอกด้วย) นั้นน่าน้อยใจยิ่ง อาจารย์จบใหม่ จะได้รับค่าตอบแทน 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ก่อนหักภาษีและประกันสังคม ต่ำกว่านักรังสีเทคนิคจบใหม่เสียอีก พูดให้ช้ำหนักคือ ได้ค่าตอบแทนต่ำกว่าลูกศิษย์ของตัวเองที่จบใหม่ เรื่องนี้ผมเคยให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุแห่งประเทศไทยไปครั้งหนึ่งเมื่อคราวครบรอบ 115 ปีแห่งการค้นพบเอกซเรย์ แต่เมื่อนำไปออกอากาศ สถานีไม่ได้นำท่อนนี้มาออกอากาศ น่าเสียดาย 
        ค่าตอบแทนเริ่มต้นของอาจารย์ในแต่ละมหาวิทยาลัยไม่เท่ากันอีก ยิ่งเป็นประเด็นที่สร้างความอึดอัดใจให้อาจารย์ มหาวิทยาลัยบางแห่งสตาร์ท 20,000 บาท บางแห่งสตาร์ท 35,000 บาท มันแตกต่างกันมากมายขนาดนี้ มหาวิทยาลัยที่สตาร์ทต่ำกว่าจึงหาอาจารย์ใหม่เข้ามาทำงานได้ยากกว่าโดยไม่มีข้อสงสัย คือ ธรรมชาติของมนุษย์โดยทั่วไปนั้น "ไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองมี แต่พอใจในสิ่งที่ตัวเองได้" พอใจกับการได้ใหม่อยู่เรื่อยๆ แม้จะได้น้อยยังไม่เป็นไรแต่ต้องได้มากกว่าคนอื่น เท่านี้พอใจแล้ว จริงหรือไม่??    
        อย่างไรก็ตาม แม้อาจารย์จะออกสตาร์ทด้วยค่าตอบแทนที่น่าอะเหน็ดอะหนาดเหลือเกิน ในระยะเวลาไม่กี่ปี ด้วยภาระหน้าที่ สอน วิจัย และบริการ จะมีเงินท็อปอัพจากค่าตำแหน่งวิชาการ ทุนวิจัย ฯลฯ (ส่วนของตัวเงินเดือนก็จะพุ่งขึ้นไปอย่างช้าๆ โดยมีเพดานเงินเดือนอยู่ที่ 150,000 บาทสำหรับพนักงานมหาวิทยาลัย)  สิ่งนี้ทำให้อาจารย์พออยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีความสุขกับการได้สร้างโลก หมายถึง มีคนเปรียบเทียบครูอาจารย์ว่าเป็นผู้สร้างโลก ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญยิ่ง แต่ก็เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลครับ ขอเพียงอย่าหมดแรงใจที่จะสร้างโลกเสียก่อนนะครับ
กำลังคน เมื่อมองกำลังคน ชัดเจนครับว่าประเทศไทยขาดแคลนนักรังสีเทคนิคอีกมาก และหากรวบรวมปัญหาหรือจุดอ่อนด้านกำลังคน พบว่ามีมากพอควร ความรู้สึกเหมือนถูกละเลยจากผู้มีอำนาจที่รับผิดชอบ เป็นแค่ความรู้สึกนะครับ ขอยกตัวอย่างที่เห็นชัดๆได้แก่ การขาดแคลนกำลังคนในภาพรวม การกระจายกำลังคนที่ไม่เป็นธรรม ความไม่เป็นธรรมด้านค่าตอบแทน  จำนวนบัณฑิตใหม่แต่ละปีประมาณต่ำกว่าความต้องการกำลังคนค่อนข้างมาก ปัญหาความก้าวหน้าในสายวิชาชีพ ฯลฯ


ขาดแคลนครูที่มีประสบการณ์
หมายถึงครูอาจารย์ผู้มีใบประกอบโรคศิลปะฯที่มีประสบการณ์ทางด้านวิชาชีพรังสีเทคนิคนั้น มีน้อยหรือไม่??  เป็นจุดอ่อนของสถาบันผู้ผลิตหรือไม่?? ประเด็นนี้ลองยกขึ้นมาเป็นจุดอ่อนเพียงอยากให้หันกลับมามอง อาจไม่จริงก็ได้ครับ เจตนาเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาให้ดีขึ้น มิได้มุ่งหมายจะดูแคลนใครนะครับ
ขาดเอกภาพและความสามัคคี
การที่ชุมชนของชาวเรามีการรวมกลุ่มเป็นองค์กรหลายองค์กร ทำให้ขาดพลังถ้าแต่ละองค์กรต่างไปกันคนละทิศละทาง เป็นผลนำไปสู่การหย่อนยานของความสามัคคีในชาวเราที่เป็นรังสีเทคนิคด้วยกัน จนขาดพลังในการขับเคลื่อนชุมชนรังสีเทคนิคให้ไปในทิศทางเดียวกัน???
งานวิจัย
การไม่ใส่ใจในการพัฒนางานร่วมกันจนถึงการละเลยงานวิจัยที่สามารถแก้ปัญหาของสังคมและประเทศชาติในส่วนที่เราเกี่ยวข้อง ในภาพรวมของชุมชนรังสีเทคนิคมีแต่การวิจัยเฉพาะกิจเป็นส่วนใหญ่ ทำวิจัยหรือทำงานวิชาการเพื่อขอกำหนดตำแหน่งสูงขึ้น เมื่อได้ตำแหน่งสูงขึ้นแล้วก็หยุดทำงานวิจัย ทำให้ไม่เกิดความต่อเนื่อง ไม่สามารถสกัดออกมาเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่เกิดจากนักรังสีเทคนิค  สิ่งนี้เป็นจุดอ่อนหรือไม่ ???  

บางคนบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ นักรังสีเทคนิคเป็นวิชาชีพบริการผู้ป่วย บริการประชาชน จะไปทำวิจัยอะไรได้ ทำงาน routine เสร็จก็หมดแรง ไม่มีสมองจะคิดอะไรแล้ว อยากพักผ่อน แต่ว่า หากเรามีความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้ดียิ่งๆขึ้น เราจะต้องทำอะไรบ้าง?? เป็นแค่คำถามให้ชาวเราหาคำตอบกันเองครับ
ลองดูวิชาชีพเดียวกันกับชาวเราของอังกฤษเป็นตัวอย่างครับ งานวิจัยที่เกิดจากนักรังสีเทคนิค (Radiographers) มีให้เห็นต่อเนื่องและสม่ำเสมอ สามารถดูได้จากวารสาร Radiography ของ Society and College of Radiographers ของอังกฤษครับ
สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกามีวารสาร Radiologic Technology  ของสมาคมรังสีเทคนิคอเมริกา (ASRT)
วารสารเหล่านี้มีให้อ่านในห้องสมุดคณะฯตั้งแต่ผมมาทำงานใหม่ๆราวๆปี พ.ศ. 2525 จนกระทั่งตอนนี้เป็น e-Journal ด้วยแล้ว จากตัวอย่างทั้งสองนี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่า นักรังสีเทคนิคในอเมริกาและอังกฤษ สร้างงานวิจัยออกมาอย่างต่อเนื่องครับ และมีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ เขาทำได้อย่างไร???
ไม่อยากได้ยินประโยคที่คนอื่นอาจจะพูดใส่เราอย่างดูแคลนว่า "ชุมชนรังสีเทคนิคไทยทำวิจัยไม่เป็นรึ??" 

     ทุกประเด็นจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และวิกฤติ ที่กล่าวมานั้น เป็นแค่เพียงการยกตัวอย่างเท่านั้นนะครับ  ถ้าหากไปกระทบใครบ้างต้องขออภัยไว้ตรงนี้ด้วย ทั้งนี้ความตั้งใจของผมคือเพื่อให้เข้าใจวิธีคิดแบบ SWOT เมื่อชาวเราร่วมกันวิเคราะห์โดยปราศจากอคติใดๆจนถี่ถ้วนแล้ว สิ่งที่ควรมองร่วมกันต่อไปคือ
สิ่งที่เป็นโอกาสก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ส่วนสิ่งที่เป็นอุปสรรคหรือภัยคุกคาม ต้องร่วมกันพิจารณาและพยายามหาหนทางเปลี่ยนให้เป็นโอกาสให้ได้
ทำนองเดียวกัน สิ่งที่เป็นจุดแข็งต้องพยายามรักษาไว้ ส่วนสิ่งที่เป็นจุดอ่อนต้องช่วยกันหาทางแก้ไข
ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดแผนงานและมาตรการที่จะเป็นแนวปฏิบัติร่วมกัน และก่อให้เกิดพลังสร้างสรรค์อย่างมหาศาล นำพาชุมชนของชาวเราให้อยู่รอดอย่างสง่างาม และสามารถทำงานให้สังคมอย่างมีประสิทธิภาพตลอดไปอย่างยั่งยืน ให้สมกับที่เขาไว้วางใจเรา

ขณะที่สภาวะโลกไร้พรมแดนยังคงดำเนินและพัฒนาตัวเองต่อไป หลายคนคงเห็นด้วยกับผมว่า เราจะไม่ยอมเป็นไม้ที่ตายแล้ว (deadwood) ซึ่งล่องลอยไปในกระแสน้ำ สุดแต่ว่ากระแสน้ำจะพัดพาไปทางไหน แต่เราจะเป็นอย่างน้อยก็เรือที่มีหางเสือคอยบังคับทิศทาง และมีใบเรือคอยรับลมเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ต้องการได้ และทั้งหมดนี้ไม่ได้ขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ขึ้นอยู่กับชาวเราทุกคนครับ

Related Links:
ผลกระทบประชาคมอาเซียน 2558
การเตรียมพร้อมของสถาบันผู้ผลิตรังสีเทคนิคสู่ประชาคมอาเซียน
สภาวิชาชีพรังสีเทคนิคเพื่อใคร
ประชาคมอาเซียนกับวิชาชีพอาเซียน
การประเมินสถาบันผู้ผลิตรังสีเทคนิค
ข้อจำกัดและเงื่อนไขการประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิค
บัณฑิตคุณภาพในศตวรรษที่ 21 
ยุทธศาสตร์อุดมศึกษาไทยสู่ประชาคมอาเซียน 2558
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการผลิตบัณฑิตรังสีเทคนิค 2555-2559
มอง ก.ช. อดีตสู่อนาคต
นักรังสีเทคนิคมืออาชีพ
จำนวนผู้อ่านบทความนี้ 2,940 ครั้ง (26ตค2555-2กย2556)

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความฝันไม่ทำร้ายใคร

     
สักวันหนึ่งฉันจะไปดวงจันทร์     
     ผู้รู้กล่าวไว้ว่า "มนุษย์สามารถทำได้ทุกอย่างถ้ามนุษย์คิดได้"
     เมื่อประมาณกว่า
40 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นผมเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนโชติรวี นครสวรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้เกิดปฏิบัติการที่ทำให้ผู้คนทั้งโลกหยุดนิ่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ขาวดำพร้อมกัน ทางโรงเรียนหยุดสอนและนำโทรทัศน์มาตั้งในโรงอาหารเพื่อให้นักเรียนทั้งโรงเรียนได้ชมปฏิบัติการนั้น ผมเฝ้ามองด้วยใจระทึกและคิดตลอดเวลาว่า เขาทำได้อย่างไร
บราเดอร์ ปีเตอร์ (อธิการ..ยืนที่สองจากขวา) ครูเอก แสงสว่าง (ครูใหญ่..สวมสูตร) 
คณะครูและนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนโชติรวี นครสวรรค์ 
รางวัลเรียนดีและประพฤติดีปี 2512
     ภาพที่ปรากฏบนจอโทรทัศน์คือ นีลอาร์มสตรอง (เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2555)ก้าวลงจากยานอวกาศและใช้เท้าแตะผิวดวงจันทร์ หลังจากที่เขามั่นใจแล้วก็เริ่มเดินไปในลักษณะที่ไม่ค่อยจะเหมือนการเดิน เพราะแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์น้อยกว่าโลกประมาณ 6 เท่า แปลว่าบนโลกถ้าเราหนัก 600 นิวตัน (หรือมีมวล 60 กิโลกรัม) เมื่ออยู่บนดวงจันทร์จะมีน้ำหนักเพียง 100 นิวตัน (มวลเท่าเดิม 60 กิโลกรัม) จากนั้นเอ็ดวินอันดรินก็ก้าวลงตามมาอีกเป็นคนที่สอง ส่วนคนที่สามไมเคิลคอลินนั้น บังคับยานแม่ลอยโคจรรอบดวงจันทร์เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือ




     นักบินอวกาศทั้งสามคนที่ปฏิบัติการในวันนั้นเป็นชาวอเมริกัน การที่ประเทศอเมริกาส่งคนไปดวงจันทร์ สามารถลงเหยียบผิวดวงจันทร์ และเดินทางกลับสู่โลกได้อย่างปลอดภัย เริ่มต้นจากความฝันเล็กๆที่ดูว่าเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้าที่จะประสบความสำเร็จนั้น ได้มีการวิจัยทดลองขั้นพื้นฐานและขั้นประยุกต์ซ้ำแล้วซ้ำอีกนับครั้งไม่ถ้วนและใช้เวลานานไม่ใช่แค่วันสองวัน ใช้เวลาเป็นปีและหลายปี จนแน่ใจว่าวิธีการเดินทางไปดวงจันทร์และกลับโลกอย่างปลอดภัยที่สุดจะต้องทำอย่างไร

     ระหว่างการทดลองวิจัย มีการสูญเสียทั้งอุปกรณ์เครื่องมือเงินทองและที่สำคัญคือชีวิตหลายชีวิตต้องสิ้นลงไป ซึ่งเป็นการลงทุนมหาศาลจนแทบจะถอดใจ ถ้าคนอเมริกันขาดศรัทธา ขาดความมุ่งมั่น ขาดการเอาจริงเอาจัง ทำงานเป็นทีมไม่เป็น ขาดการยอมรับความสามารถซึ่งกันและกัน……ฯลฯ ประเทศอเมริกาจะทำสิ่งนี้ไม่สำเร็จอย่างแน่นอนและคงยกธงขาวขอยอมแพ้ไป

     ผมพูดถึงเรื่องนี้เพราะส่วนตัวแล้วเกิดความประทับใจในการที่เขาพยายามทำในสิ่งที่ยากยิ่งได้สำเร็จ โดยไม่ปล่อยให้ความฝันเล็กๆของใครคนหนึ่งมลายหายไป สิ่งที่เขาร่วมใจกันทำนั้นได้ก่อให้เกิดการเรียนรู้ระดับรากเหง้าของศาสตร์หลายแขนงทั้ง ฟิสิกส์ วิศวกรรม เคมี คณิตศาสตร์ ชีววิทยา ฯลฯ จนประเทศอเมริกากลายเป็นประเทศผู้นำทางความรู้เหล่านี้ และได้รับการยอมรับนับถือในเชิงวิชาการไปทั่วโลกอย่างที่ชาวเราก็ทราบดี



ความฝันกับความหวัง
     ที่กล่าวมานั้น ใช่ว่าผมจะบ้าอเมริกาหรือบ้าของนอก ผมยังคงศรัทธาความเป็นคนไทยอย่างแรงกล้า ผมเพียงมองส่วนที่ดีของคนอื่นด้วยความชื่นชมเพื่อเป็นข้อคิด เมื่อย้อนมามองตัวเราบ้าง เอาแค่ในแวดวงรังสีเทคนิคในหน่วยงานเล็กๆของเรา 
     ถามว่า เรามีความฝันแบบสุดๆ ไม่มีขอบเขต ชนิดยากยิ่งไกลเกินกว่าจะเป็นจริงได้หรือไม่? ก็แค่ฝันนี่ ทำไมจะฝันไม่ได้เล่า หลายคนอาจแย้งว่า จะฝันไปทำไมให้ป่วยการ รูทีน (routine) ก็สบายดีอยู่แล้ว 
     ความฝันกับความหวังนั้นใกล้เคียงกันมากครับ ลองสังเกตตัวเองดูซิครับว่า ถ้าเรามีความฝันเราจะไม่มีความทุกข์ เคลิบเคลิ้มไปกับความฝัน แต่ถ้าความฝันนั้นเป็นความที่อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้น หรือเป็นความหวังขึ้นมาละก็จะทุกข์ทันที 
     ใครคนหนึ่งกำลังฝันเพลินๆ ฝันกลางวัน ฝันกลางคืน ก็ได้ ฝันว่าเรามีบ้านหลังใหญ่อยู่อย่างสบาย มีคนรับใช้คอยบริการ มีรถยนต์หรูๆขับ มีคนขับให้ด้วย มีเงินมีทองมากมาย มีคนนับหน้าถือตา รู้สึกตัวเองมีสุขภาพดี ได้กินแต่ของดีๆหรูๆ ไฮโซ ก็ฝันไปเรื่อยๆสนุกดี มีความสุขดี เลิกฝันแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไปอย่างสนุกสนาน ไม่ได้เอาจิตไปผูกติดกับมัน ไม่ได้คิดฟุ้งซ่านอะไรเลย 
     แต่ถ้าเปลี่ยนความฝันเหล่านั้นให้เป็นความหวัง ให้เป็นสิ่งที่จะต้องมีให้ได้ หรือเป็นให้ได้ พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางให้มีให้ได้ จะเอาให้ได้ ไม่ว่าวิธีใด ถูกหรือผิดไม่สนใจ อยู่ในอาการขาดสติ ถามว่า คนที่หวังแบบนี้จะมีความสุขหรือความทุกข์ คำตอบชัดเจนมากคือ มีความทุกข์มากๆ เพราะความหวังเหล่านั้นมันคอยขบกัดจิตใจอยู่ตลอดเวลา มีคนหลายคนยอมอยู่กับความหวังแบบนี้อย่างสมัครใจ อย่างเต็มใจ  อย่างมีความสุขจากแรงกระตุ้นที่มาจากความหวังนั้น ก็ไม่ว่ากัน ถ้าทำทุกอย่างอย่างชอบธรรม แต่ก็อยากจะเตือนไว้ว่า ความหวังแบบนี้เหมือนเรากำเศษแก้วไว้ในมือ หวังมากก็เหมือนยิ่งกำมือแน่น มือเราจะยิ่งเจ็บเพราะถูกแก้วบาดมือ ถ้าไม่อยากเจ็บมือ ก็แค่แบมือออก ทิ้งเศษแก้วไปซะ แค่นี้เอง
     ถ้าใครสักคนมีความฝันเพื่อส่วนรวม เป็นความฝันที่เกินคาดฝัน และไม่ใช่ว่าจะเกิดกับใครก็ได้ เราจะยอมรับและร่วมกันมีความทุกข์ทำความฝันให้เป็นความหวัง ให้เป็นความจริงได้หรือไม่? จุดอ่อนอยู่ที่ไหน การยอมรับความสามารถของเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมวิชาชีพ ซึ่งบางทีอวุโสน้อยกว่าอย่างจริงใจโดยยกย่องและยอมรับว่าความสามารถในเรื่องนั้นๆเราสู้เขาไม่ได้จริงๆเป็นจุดอ่อนของเราไหม 
     ร้ายยิ่งกว่านั้น การกีดกันและเหยียบย่ำ สะกัดกั้นทุกวิถีทางที่ทำได้ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ไม่ให้ผู้ที่มีความสามารถมากกว่าเรามีโอกาสแสดงความสามารถออกมาเป็นจุดอ่อนของเราไหม 
A: ไม่มีทางเกิดหร็อกเชื่อเหตุผลผมซี่โธ่                                     B: จริงๆ เชื่อซี่ว่ามันจะเกิดขึ้น
     ถ้าใช่ก็ขอเชิญชวนช่วยกันกำจัดจุดอ่อนเหล่านี้ให้หมดไปดีกว่าไหมครับ หรือให้ลดลงบ้างก็ยังดี หันมาสนับสนุนส่งเสริมซึ่งกันและกัน ช่วยกันดึงพลังในด้านดีของกันและกันออกมามากๆ ไม่ต้องมาโทษกันไปโทษกันมา เหมือนคนตาบอดถือโคมไฟ และร่วมกันมีความทุกข์ด้วยความสมัครใจ ทำความฝันของเราให้เป็นจริงครับ

การโต้เถียง ยิ่งทำให้หลงเชื่อเหตุผลของตัวเอง
     บ่อยครั้ง 
ความฝันที่กลายเป็นความหวัง ที่แสดงปรากฏออกมาให้ผู้อื่นได้รู้ เป็นเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งใหญ่โต ถึงขั้นทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตั้งแง่ ตั้งการ์ดใส่กัน ทั้งๆที่ยังว่างเปล่า ยังไม่มีอะไรเลย 
     แค่เริ่มพูดคุยกันถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดในแบบใดแบบหนึ่งก็ได้ทั้งนั้น แล้วก็จินตนาการไปตามพื้นฐานข้อมูลที่ตัวเองทราบมาจริงหรือไม่จริงบางทียังไม่รู้เลย เมื่อถึงขั้นถกเถียงกันถึงขั้นทะเลาะกัน ยิ่งทำให้ต่างฝ่ายต่างก็ยิ่งมั่นใจในเหตุผลของตัวเองมากยิ่งขึ้น ว่าถูกต้อง ว่าใช่แน่ๆ ของฝ่ายที่คิดตรงข้ามนั้นเหตุผลใช้ไม่ได้ทั้งเพ 
เมื่อมองภาพนี้ คุณเห็นเป็นรูปอะไร
     การมองสิ่งเดียวกัน เรื่องเดียวกัน ก็คิดฝันไม่เหมือนกันแล้ว เช่นมองภาพนี้ หลายคนมองแล้วจะคิดฝันกันไปต่างๆนานา แล้วจินตนาการกันไป ไม่เหมือนกัน อาจเหมือนกันบ้าง เช่น บางคนมองเห็นเป็น
     -อะตอม
     -อิเล็กตรอนวิ่งชนเป้าเกิดเอกซเรย์
     -อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่มองจากด้านบน
     -ล๊อกเป้า แล้วยิงเลย
     -พัดลม
     -จุดจบของลูกชิ้น
     -จุดรวมพลัง สามัคคี
     -ช้างสี่ตัวกำลังเล่นฟุตบอล
     -ฯลฯ
     การที่แต่ละคนมองเห็นไม่เหมือนกันต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง แล้วถ้าแต่ละคนโต้เถียงกันว่า ของฉันถูกเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ คงโต้กันไปเรื่อยและหาจุดจบยาก
     การโต้เถียงกันไป ไม่ยอมกันไม่ว่าจะเรื่องใด ในบางครั้งอาจมีผู้ชนะเกิดขึ้นได้บ้าง มันก็แค่เป็นชัยชนะบนความสะใจเท่านั้น เป็นชัยชนะบนความว่างเปล่า เพราะเป็นชัยชนะที่หากจะได้ก็จะได้ศัตรูเพิ่มขึ้น สูญเสียมิตรภาพหมดสิ้น คิดรึว่าคนที่พ่ายแพ้ด้วยวิธีการโต้เถียงกันจะยอมจำนน 
     ที่กล่าวมานี่ ผมมิได้หมายความว่าอย่ามีเหตุผล การมีเหตุผลของทุกคนย่อมดีอยู่แล้ว แต่ต้องระวังมิให้เป็นเหตุผลของฝ่ายกิเลส เพราะจะทำให้หลงทางง่ายๆ แล้วจะรู้ได้อย่างไร....มีสติครับ 
     และวิธีที่จะยุติข้อขัดแย้งหรือการโต้เถียง เดลคาร์เนกี้แนะนำว่า ให้หลีกเลี่ยงมันซะ จริงไม่จริงต้องเจอด้วยตัวเองแล้วลองดู ในความเห็นผมนั้นนอกจากหลีกเลี่ยงแล้วควรมองตัวเราให้ดีว่ามีส่วนทำให้เกิดข้อขัดแย้งหรือไม่...สติอีกนั่นแหล่ะ
     ยิ่งเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารมันพัฒนาไปมาก มีวิธีคุยสื่อสารกันผ่านโลก Cyber สามารถโต้เถียงกันได้รวดเร็วแม้จะอยู่ไกลกัน ไม่ต้องรอให้มาประจัญหน้ากัน แบบตาต่อตา พอเร็วมากก็เลยไม่ค่อยยั้งคิด เพราะมันเร็วไง เบรคไม่ค่อยอยู่หรือไม่มีเบรคเพราะไม่ได้อยู่ประจัญหน้ากัน มันจึงมีโอกาสรุกลามใหญ่โตได้ง่ายๆ และก็ไม่ได้รู้กันแค่สองคนที่ทะเลาะกันนะ มันรู้กันทั่วในวงกว้าง ทั้งแชร์ทั้งลิงค์พรึบเดียวรู้กันทั่ว เพราะเป็นโลก Cyber อย่างที่เราได้เห็นรอบๆตัว ใกล้ๆตัวของบางคนก็อาจมี ตามข่าวในหนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างบ่อยๆ 
    
     ลองฟังเรื่องนี้ครับ

เมื่อชาวนาวางแผนใช้ควายช่วยทำนา
     หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุเคยเทศนาไว้ครั้งหนึ่งถึงเรื่องของความคิดฝันของคน ผมอาจเล่าไม่เหมือนกับที่ท่านเทศนาเพราะนานมาแล้วต้องกราบขออภัยด้วยครับ แต่เนื้อความสำคัญมีอยู่ว่า มีชาวนาคนหนึ่งคุยกับภรรยาของตัวเองขณะนั่งล้อมวงกินข้าวเย็นพร้อมลูกชายถึงเรื่องการทำนา ว่าปีหน้าเราควรจะหาซื้อควายสักตัวหนึ่งเพื่อไว้ช่วยทำนา จะได้ผ่อนแรงเพราะตัวเขาก็อายุมากขึ้นทุกวัน 
     อันนี้ ดูๆไป เหมือนการทำแผนยุทธศาสตร์หรือแผนกลยุทธ์ ที่ทุกๆหน่วยงานทำกัน นึกถึงเพลงๆหนึ่ง ชื่อเพลงว่า "ทหารใหม่ไปกอง" ที่ยอดรัก สลักใจ ร้องเอาไว้ เนื้อเพลงมีความหมายออกแนวการวางแผนยุทธศาสตร์ของทหารใหม่ก่อนไปแนวหน้าสองปี ลองหาฟังดูครับในท่อนที่ว่า "เป็นห่วงแม่คนแก่คนเฒ่า น้อยไปเฝ้าดูแม่ด้วยหนา หมูอย่าเลี้ยงมันเสี่ยงนะแม่ ตอนนี้แย่ข้าวลงราคา นาแปลงไหนเอาให้เขาเช่า และได้จำนำข้าวนะจ๊ะแม่จ๋า ถ้าน้อยเขามีแฟนใหม่ ไปขอละมัยให้ผมแม่จ๋า" รอบครอบไหมล่ะ
     วกกลับมาเรื่องชาวนาครับ ภรรยาชาวนาเห็นด้วยและว่าคงจะต้องออมเงินไว้ซื้อควาย ฝ่ายลูกชายคนเดียวได้ยินพ่อแม่คุยกันเรื่องจะซื้อควายในปีหน้าก็ดีใจและบอกกับพ่อว่า...
     ดีพ่อผมจะได้เลี้ยงควายเป็นเพื่อนและขี่ควายไปทำนาทุกวัน 
     พ่อหันมาและว่า... 
     “มึงจะขี่ควายไปทุกวันไม่ได้หรอกสงสารมัน” 
     ฝ่ายลูกก็ว่า...
     “งั้นตอนเย็นพอทำนาเสร็จแล้วผมจะขี่ควายพามันไปอาบน้ำ” 
     ฝ่ายพ่อชักเริ่มโมโหและตวาดว่า... 
     มึงนี่พูดไม่รู้เรื่อง ควายมันทำนาทั้งวัน มันเหนื่อยแล้วมึงยังจะขี่มันอีกรึ ไอ้นี่วอนซะแล้ว” 
     ลูกก็ไม่ยอมและว่าต่อว่า... 
     “ผมจะขี่ควาย และจะพาไปอาบน้ำทุกวัน 
     พ่อทนไม่ไว้ก็คว้าไม้เรียวไล่ตีลูกพร้อมกับพูดว่า... 
     มึงจะขี่ควายไม่ได้กูไม่ให้มึงขี่” 
     แล้วพ่อก็ไล่ตีลูก ฝ่ายลูกถูกตีร้องไห้ ก็วิ่งหนีพ่อไปกลางทุ่งนา พ่อก็วิ่งตามไปตีลูกอีกเพราะโมโห เรื่องนี้พ่อเหนื่อย ลูกเจ็บ และไม่ต้องกินข้าวกัน ความสุขที่เคยมีอยู่ก็พลันหายวับไป ทั้งๆที่ยังไม่มีควายเลย แค่คิดฝันไปและทั้งคู่เกิดความหวังขึ้นเท่านั้นเอง พ่อก็โมโหจะเป็นจะตาย ลูกก็เจ็บตัวซะแล้ว

     ความฝันและความหวังนั้นใกล้กันนิดเดียว มีเส้นแบ่งบางๆกั้นไว้ แต่ว่าผลลัพธ์ของมันแตกต่างกันมาก ความฝันไม่มีขอบเขต ไม่เคยทำร้ายใคร แต่ความหวังอาจทำร้ายเราและชุมชนรังสีเทคนิคได้