วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความฝันไม่ทำร้ายใคร

     
สักวันหนึ่งฉันจะไปดวงจันทร์     
     ผู้รู้กล่าวไว้ว่า "มนุษย์สามารถทำได้ทุกอย่างถ้ามนุษย์คิดได้"
     เมื่อประมาณกว่า
40 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นผมเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนโชติรวี นครสวรรค์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้เกิดปฏิบัติการที่ทำให้ผู้คนทั้งโลกหยุดนิ่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ขาวดำพร้อมกัน ทางโรงเรียนหยุดสอนและนำโทรทัศน์มาตั้งในโรงอาหารเพื่อให้นักเรียนทั้งโรงเรียนได้ชมปฏิบัติการนั้น ผมเฝ้ามองด้วยใจระทึกและคิดตลอดเวลาว่า เขาทำได้อย่างไร
บราเดอร์ ปีเตอร์ (อธิการ..ยืนที่สองจากขวา) ครูเอก แสงสว่าง (ครูใหญ่..สวมสูตร) 
คณะครูและนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนโชติรวี นครสวรรค์ 
รางวัลเรียนดีและประพฤติดีปี 2512
     ภาพที่ปรากฏบนจอโทรทัศน์คือ นีลอาร์มสตรอง (เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2555)ก้าวลงจากยานอวกาศและใช้เท้าแตะผิวดวงจันทร์ หลังจากที่เขามั่นใจแล้วก็เริ่มเดินไปในลักษณะที่ไม่ค่อยจะเหมือนการเดิน เพราะแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์น้อยกว่าโลกประมาณ 6 เท่า แปลว่าบนโลกถ้าเราหนัก 600 นิวตัน (หรือมีมวล 60 กิโลกรัม) เมื่ออยู่บนดวงจันทร์จะมีน้ำหนักเพียง 100 นิวตัน (มวลเท่าเดิม 60 กิโลกรัม) จากนั้นเอ็ดวินอันดรินก็ก้าวลงตามมาอีกเป็นคนที่สอง ส่วนคนที่สามไมเคิลคอลินนั้น บังคับยานแม่ลอยโคจรรอบดวงจันทร์เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือ




     นักบินอวกาศทั้งสามคนที่ปฏิบัติการในวันนั้นเป็นชาวอเมริกัน การที่ประเทศอเมริกาส่งคนไปดวงจันทร์ สามารถลงเหยียบผิวดวงจันทร์ และเดินทางกลับสู่โลกได้อย่างปลอดภัย เริ่มต้นจากความฝันเล็กๆที่ดูว่าเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้าที่จะประสบความสำเร็จนั้น ได้มีการวิจัยทดลองขั้นพื้นฐานและขั้นประยุกต์ซ้ำแล้วซ้ำอีกนับครั้งไม่ถ้วนและใช้เวลานานไม่ใช่แค่วันสองวัน ใช้เวลาเป็นปีและหลายปี จนแน่ใจว่าวิธีการเดินทางไปดวงจันทร์และกลับโลกอย่างปลอดภัยที่สุดจะต้องทำอย่างไร

     ระหว่างการทดลองวิจัย มีการสูญเสียทั้งอุปกรณ์เครื่องมือเงินทองและที่สำคัญคือชีวิตหลายชีวิตต้องสิ้นลงไป ซึ่งเป็นการลงทุนมหาศาลจนแทบจะถอดใจ ถ้าคนอเมริกันขาดศรัทธา ขาดความมุ่งมั่น ขาดการเอาจริงเอาจัง ทำงานเป็นทีมไม่เป็น ขาดการยอมรับความสามารถซึ่งกันและกัน……ฯลฯ ประเทศอเมริกาจะทำสิ่งนี้ไม่สำเร็จอย่างแน่นอนและคงยกธงขาวขอยอมแพ้ไป

     ผมพูดถึงเรื่องนี้เพราะส่วนตัวแล้วเกิดความประทับใจในการที่เขาพยายามทำในสิ่งที่ยากยิ่งได้สำเร็จ โดยไม่ปล่อยให้ความฝันเล็กๆของใครคนหนึ่งมลายหายไป สิ่งที่เขาร่วมใจกันทำนั้นได้ก่อให้เกิดการเรียนรู้ระดับรากเหง้าของศาสตร์หลายแขนงทั้ง ฟิสิกส์ วิศวกรรม เคมี คณิตศาสตร์ ชีววิทยา ฯลฯ จนประเทศอเมริกากลายเป็นประเทศผู้นำทางความรู้เหล่านี้ และได้รับการยอมรับนับถือในเชิงวิชาการไปทั่วโลกอย่างที่ชาวเราก็ทราบดี



ความฝันกับความหวัง
     ที่กล่าวมานั้น ใช่ว่าผมจะบ้าอเมริกาหรือบ้าของนอก ผมยังคงศรัทธาความเป็นคนไทยอย่างแรงกล้า ผมเพียงมองส่วนที่ดีของคนอื่นด้วยความชื่นชมเพื่อเป็นข้อคิด เมื่อย้อนมามองตัวเราบ้าง เอาแค่ในแวดวงรังสีเทคนิคในหน่วยงานเล็กๆของเรา 
     ถามว่า เรามีความฝันแบบสุดๆ ไม่มีขอบเขต ชนิดยากยิ่งไกลเกินกว่าจะเป็นจริงได้หรือไม่? ก็แค่ฝันนี่ ทำไมจะฝันไม่ได้เล่า หลายคนอาจแย้งว่า จะฝันไปทำไมให้ป่วยการ รูทีน (routine) ก็สบายดีอยู่แล้ว 
     ความฝันกับความหวังนั้นใกล้เคียงกันมากครับ ลองสังเกตตัวเองดูซิครับว่า ถ้าเรามีความฝันเราจะไม่มีความทุกข์ เคลิบเคลิ้มไปกับความฝัน แต่ถ้าความฝันนั้นเป็นความที่อยากจะให้มันเป็นอย่างนั้น หรือเป็นความหวังขึ้นมาละก็จะทุกข์ทันที 
     ใครคนหนึ่งกำลังฝันเพลินๆ ฝันกลางวัน ฝันกลางคืน ก็ได้ ฝันว่าเรามีบ้านหลังใหญ่อยู่อย่างสบาย มีคนรับใช้คอยบริการ มีรถยนต์หรูๆขับ มีคนขับให้ด้วย มีเงินมีทองมากมาย มีคนนับหน้าถือตา รู้สึกตัวเองมีสุขภาพดี ได้กินแต่ของดีๆหรูๆ ไฮโซ ก็ฝันไปเรื่อยๆสนุกดี มีความสุขดี เลิกฝันแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไปอย่างสนุกสนาน ไม่ได้เอาจิตไปผูกติดกับมัน ไม่ได้คิดฟุ้งซ่านอะไรเลย 
     แต่ถ้าเปลี่ยนความฝันเหล่านั้นให้เป็นความหวัง ให้เป็นสิ่งที่จะต้องมีให้ได้ หรือเป็นให้ได้ พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางให้มีให้ได้ จะเอาให้ได้ ไม่ว่าวิธีใด ถูกหรือผิดไม่สนใจ อยู่ในอาการขาดสติ ถามว่า คนที่หวังแบบนี้จะมีความสุขหรือความทุกข์ คำตอบชัดเจนมากคือ มีความทุกข์มากๆ เพราะความหวังเหล่านั้นมันคอยขบกัดจิตใจอยู่ตลอดเวลา มีคนหลายคนยอมอยู่กับความหวังแบบนี้อย่างสมัครใจ อย่างเต็มใจ  อย่างมีความสุขจากแรงกระตุ้นที่มาจากความหวังนั้น ก็ไม่ว่ากัน ถ้าทำทุกอย่างอย่างชอบธรรม แต่ก็อยากจะเตือนไว้ว่า ความหวังแบบนี้เหมือนเรากำเศษแก้วไว้ในมือ หวังมากก็เหมือนยิ่งกำมือแน่น มือเราจะยิ่งเจ็บเพราะถูกแก้วบาดมือ ถ้าไม่อยากเจ็บมือ ก็แค่แบมือออก ทิ้งเศษแก้วไปซะ แค่นี้เอง
     ถ้าใครสักคนมีความฝันเพื่อส่วนรวม เป็นความฝันที่เกินคาดฝัน และไม่ใช่ว่าจะเกิดกับใครก็ได้ เราจะยอมรับและร่วมกันมีความทุกข์ทำความฝันให้เป็นความหวัง ให้เป็นความจริงได้หรือไม่? จุดอ่อนอยู่ที่ไหน การยอมรับความสามารถของเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมวิชาชีพ ซึ่งบางทีอวุโสน้อยกว่าอย่างจริงใจโดยยกย่องและยอมรับว่าความสามารถในเรื่องนั้นๆเราสู้เขาไม่ได้จริงๆเป็นจุดอ่อนของเราไหม 
     ร้ายยิ่งกว่านั้น การกีดกันและเหยียบย่ำ สะกัดกั้นทุกวิถีทางที่ทำได้ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ไม่ให้ผู้ที่มีความสามารถมากกว่าเรามีโอกาสแสดงความสามารถออกมาเป็นจุดอ่อนของเราไหม 
A: ไม่มีทางเกิดหร็อกเชื่อเหตุผลผมซี่โธ่                                     B: จริงๆ เชื่อซี่ว่ามันจะเกิดขึ้น
     ถ้าใช่ก็ขอเชิญชวนช่วยกันกำจัดจุดอ่อนเหล่านี้ให้หมดไปดีกว่าไหมครับ หรือให้ลดลงบ้างก็ยังดี หันมาสนับสนุนส่งเสริมซึ่งกันและกัน ช่วยกันดึงพลังในด้านดีของกันและกันออกมามากๆ ไม่ต้องมาโทษกันไปโทษกันมา เหมือนคนตาบอดถือโคมไฟ และร่วมกันมีความทุกข์ด้วยความสมัครใจ ทำความฝันของเราให้เป็นจริงครับ

การโต้เถียง ยิ่งทำให้หลงเชื่อเหตุผลของตัวเอง
     บ่อยครั้ง 
ความฝันที่กลายเป็นความหวัง ที่แสดงปรากฏออกมาให้ผู้อื่นได้รู้ เป็นเหตุทำให้เกิดความขัดแย้งใหญ่โต ถึงขั้นทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตั้งแง่ ตั้งการ์ดใส่กัน ทั้งๆที่ยังว่างเปล่า ยังไม่มีอะไรเลย 
     แค่เริ่มพูดคุยกันถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น และเป็นเรื่องที่อาจจะเกิดในแบบใดแบบหนึ่งก็ได้ทั้งนั้น แล้วก็จินตนาการไปตามพื้นฐานข้อมูลที่ตัวเองทราบมาจริงหรือไม่จริงบางทียังไม่รู้เลย เมื่อถึงขั้นถกเถียงกันถึงขั้นทะเลาะกัน ยิ่งทำให้ต่างฝ่ายต่างก็ยิ่งมั่นใจในเหตุผลของตัวเองมากยิ่งขึ้น ว่าถูกต้อง ว่าใช่แน่ๆ ของฝ่ายที่คิดตรงข้ามนั้นเหตุผลใช้ไม่ได้ทั้งเพ 
เมื่อมองภาพนี้ คุณเห็นเป็นรูปอะไร
     การมองสิ่งเดียวกัน เรื่องเดียวกัน ก็คิดฝันไม่เหมือนกันแล้ว เช่นมองภาพนี้ หลายคนมองแล้วจะคิดฝันกันไปต่างๆนานา แล้วจินตนาการกันไป ไม่เหมือนกัน อาจเหมือนกันบ้าง เช่น บางคนมองเห็นเป็น
     -อะตอม
     -อิเล็กตรอนวิ่งชนเป้าเกิดเอกซเรย์
     -อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่มองจากด้านบน
     -ล๊อกเป้า แล้วยิงเลย
     -พัดลม
     -จุดจบของลูกชิ้น
     -จุดรวมพลัง สามัคคี
     -ช้างสี่ตัวกำลังเล่นฟุตบอล
     -ฯลฯ
     การที่แต่ละคนมองเห็นไม่เหมือนกันต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง แล้วถ้าแต่ละคนโต้เถียงกันว่า ของฉันถูกเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ คงโต้กันไปเรื่อยและหาจุดจบยาก
     การโต้เถียงกันไป ไม่ยอมกันไม่ว่าจะเรื่องใด ในบางครั้งอาจมีผู้ชนะเกิดขึ้นได้บ้าง มันก็แค่เป็นชัยชนะบนความสะใจเท่านั้น เป็นชัยชนะบนความว่างเปล่า เพราะเป็นชัยชนะที่หากจะได้ก็จะได้ศัตรูเพิ่มขึ้น สูญเสียมิตรภาพหมดสิ้น คิดรึว่าคนที่พ่ายแพ้ด้วยวิธีการโต้เถียงกันจะยอมจำนน 
     ที่กล่าวมานี่ ผมมิได้หมายความว่าอย่ามีเหตุผล การมีเหตุผลของทุกคนย่อมดีอยู่แล้ว แต่ต้องระวังมิให้เป็นเหตุผลของฝ่ายกิเลส เพราะจะทำให้หลงทางง่ายๆ แล้วจะรู้ได้อย่างไร....มีสติครับ 
     และวิธีที่จะยุติข้อขัดแย้งหรือการโต้เถียง เดลคาร์เนกี้แนะนำว่า ให้หลีกเลี่ยงมันซะ จริงไม่จริงต้องเจอด้วยตัวเองแล้วลองดู ในความเห็นผมนั้นนอกจากหลีกเลี่ยงแล้วควรมองตัวเราให้ดีว่ามีส่วนทำให้เกิดข้อขัดแย้งหรือไม่...สติอีกนั่นแหล่ะ
     ยิ่งเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารมันพัฒนาไปมาก มีวิธีคุยสื่อสารกันผ่านโลก Cyber สามารถโต้เถียงกันได้รวดเร็วแม้จะอยู่ไกลกัน ไม่ต้องรอให้มาประจัญหน้ากัน แบบตาต่อตา พอเร็วมากก็เลยไม่ค่อยยั้งคิด เพราะมันเร็วไง เบรคไม่ค่อยอยู่หรือไม่มีเบรคเพราะไม่ได้อยู่ประจัญหน้ากัน มันจึงมีโอกาสรุกลามใหญ่โตได้ง่ายๆ และก็ไม่ได้รู้กันแค่สองคนที่ทะเลาะกันนะ มันรู้กันทั่วในวงกว้าง ทั้งแชร์ทั้งลิงค์พรึบเดียวรู้กันทั่ว เพราะเป็นโลก Cyber อย่างที่เราได้เห็นรอบๆตัว ใกล้ๆตัวของบางคนก็อาจมี ตามข่าวในหนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์ก็มีให้เห็นเป็นตัวอย่างบ่อยๆ 
    
     ลองฟังเรื่องนี้ครับ

เมื่อชาวนาวางแผนใช้ควายช่วยทำนา
     หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุเคยเทศนาไว้ครั้งหนึ่งถึงเรื่องของความคิดฝันของคน ผมอาจเล่าไม่เหมือนกับที่ท่านเทศนาเพราะนานมาแล้วต้องกราบขออภัยด้วยครับ แต่เนื้อความสำคัญมีอยู่ว่า มีชาวนาคนหนึ่งคุยกับภรรยาของตัวเองขณะนั่งล้อมวงกินข้าวเย็นพร้อมลูกชายถึงเรื่องการทำนา ว่าปีหน้าเราควรจะหาซื้อควายสักตัวหนึ่งเพื่อไว้ช่วยทำนา จะได้ผ่อนแรงเพราะตัวเขาก็อายุมากขึ้นทุกวัน 
     อันนี้ ดูๆไป เหมือนการทำแผนยุทธศาสตร์หรือแผนกลยุทธ์ ที่ทุกๆหน่วยงานทำกัน นึกถึงเพลงๆหนึ่ง ชื่อเพลงว่า "ทหารใหม่ไปกอง" ที่ยอดรัก สลักใจ ร้องเอาไว้ เนื้อเพลงมีความหมายออกแนวการวางแผนยุทธศาสตร์ของทหารใหม่ก่อนไปแนวหน้าสองปี ลองหาฟังดูครับในท่อนที่ว่า "เป็นห่วงแม่คนแก่คนเฒ่า น้อยไปเฝ้าดูแม่ด้วยหนา หมูอย่าเลี้ยงมันเสี่ยงนะแม่ ตอนนี้แย่ข้าวลงราคา นาแปลงไหนเอาให้เขาเช่า และได้จำนำข้าวนะจ๊ะแม่จ๋า ถ้าน้อยเขามีแฟนใหม่ ไปขอละมัยให้ผมแม่จ๋า" รอบครอบไหมล่ะ
     วกกลับมาเรื่องชาวนาครับ ภรรยาชาวนาเห็นด้วยและว่าคงจะต้องออมเงินไว้ซื้อควาย ฝ่ายลูกชายคนเดียวได้ยินพ่อแม่คุยกันเรื่องจะซื้อควายในปีหน้าก็ดีใจและบอกกับพ่อว่า...
     ดีพ่อผมจะได้เลี้ยงควายเป็นเพื่อนและขี่ควายไปทำนาทุกวัน 
     พ่อหันมาและว่า... 
     “มึงจะขี่ควายไปทุกวันไม่ได้หรอกสงสารมัน” 
     ฝ่ายลูกก็ว่า...
     “งั้นตอนเย็นพอทำนาเสร็จแล้วผมจะขี่ควายพามันไปอาบน้ำ” 
     ฝ่ายพ่อชักเริ่มโมโหและตวาดว่า... 
     มึงนี่พูดไม่รู้เรื่อง ควายมันทำนาทั้งวัน มันเหนื่อยแล้วมึงยังจะขี่มันอีกรึ ไอ้นี่วอนซะแล้ว” 
     ลูกก็ไม่ยอมและว่าต่อว่า... 
     “ผมจะขี่ควาย และจะพาไปอาบน้ำทุกวัน 
     พ่อทนไม่ไว้ก็คว้าไม้เรียวไล่ตีลูกพร้อมกับพูดว่า... 
     มึงจะขี่ควายไม่ได้กูไม่ให้มึงขี่” 
     แล้วพ่อก็ไล่ตีลูก ฝ่ายลูกถูกตีร้องไห้ ก็วิ่งหนีพ่อไปกลางทุ่งนา พ่อก็วิ่งตามไปตีลูกอีกเพราะโมโห เรื่องนี้พ่อเหนื่อย ลูกเจ็บ และไม่ต้องกินข้าวกัน ความสุขที่เคยมีอยู่ก็พลันหายวับไป ทั้งๆที่ยังไม่มีควายเลย แค่คิดฝันไปและทั้งคู่เกิดความหวังขึ้นเท่านั้นเอง พ่อก็โมโหจะเป็นจะตาย ลูกก็เจ็บตัวซะแล้ว

     ความฝันและความหวังนั้นใกล้กันนิดเดียว มีเส้นแบ่งบางๆกั้นไว้ แต่ว่าผลลัพธ์ของมันแตกต่างกันมาก ความฝันไม่มีขอบเขต ไม่เคยทำร้ายใคร แต่ความหวังอาจทำร้ายเราและชุมชนรังสีเทคนิคได้



2 ความคิดเห็น:

  1. เรียน ท่านอาจารย์มานัส ครับ
    ความฝันไม่ทำร้ายใคร ถ้าเราฝันในสิ่งที่ดีงาม ผมก็ฝันเฟื่องอยู่บ่อยๆครับ ที่ชอบมากคือชอบฝันว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง แล้วจะซื้อโน่นซื้อนี่
    ความฝันของชาวนาที่จะซื้อควายในปีหน้า จนต้องไล่ตีลูก ไม่ได้กินข้าวกินน้ำ ส่วนใหญ่ในสังคมไทยเรามักจะมีความฝันแบบนี้นะครับ แล้วเราก็ทะเลาะกันเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป ได้สติ มานั่งคิดทบทวน บางครั้งก็นึกขำ ว่าทำกันได้ถึงขนาดนั้นเลยหรือ
    ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งนะครับที่มีบทความดีๆมาให้อ่าน ทำให้ผมได้ฉุกคิดอะไรๆ ขึ้นมาหลายอย่างในชีวิต

    อนุชิต สมหาญวงค์ / ระนอง

    ตอบลบ
  2. จาก FB:

    Pattanuch Kadeewee:.....
    ทุกคนมีเหตุผลร้อยแปด ที่จะเข้าข้างหรือสนับสนุนความคิดของ...(ฝ่าย,พวกพ้อง, พรรคพวก).. ตนเองเสมอค่ะ อาจารย์.. สูงสุด แล้ว ย่อมคืนสู่สามัญ.

    Natchaya Somjariya:.....
    เปิดใจ หันไปฟังเสียงอื่น จะได้รู้ว่าเค้าคิดอย่างไร และนำมาปรับแก้ไข อาจจะได้พบกับมิตรใหม่ก็ได้น่ะ

    ตอบลบ