วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การอภิปราย ความก้าวหน้าของสายงานรังสีการแพทย์ของไทย (19th AACRT)


(อ่าน 624 ครั้ง 16กพ2556-3พค2556)
    ในการประชุมนานาชาติ AACRT2013 ที่เชียงใหม่ โรงแรมปางสวนแก้ว  เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2556 นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข, ผศ.ดร.บรรจง เขื่อนแก้ว ประธานกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิค, นายสละ อุบลฉาย นายกสมาคมรังสีเทคนิคแห่งประเทศไทย, และรองศาสตราจารย์มานัส มงคลสุข หัวหน้าภาควิชารังสีเทคนิคมหิดล ได้ร่วมกันอภิปรายเรื่อง ความก้าวหน้าของสายงานรังสีการแพทย์ของไทย
พูดถึงตั้งแต่จุดเริ่มต้นคือการผลิตบัณฑิตรังสีเทคนิคของไทย เข้าสู่ตลาดแรงงาน ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข และภาคเอกชน ผ่านการรับรองโดยคณะกรรมการวิชาชีพ และมีการรวมตัวกันเป็นสมาคมฯ
เรื่องที่พูดกันมากคือเรื่องตำแหน่ง ซึ่งมีการพูดถึงข่าวดีเรื่องการจัดสรรตำแหน่งในภาพรวมของกระทรวงสาธารณสุข โดยรวมตำแหน่งนักรังสีการแพทย์เข้าไปด้วย และตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฯที่มีคุณวุฒิปริญญาตรีสาขารังสีเทคนิคแล้วสามารถปรับเป็นตำแหน่งนักรังสีการแพทย์ได้เลยโดยไม่ต้องยุบรวมตำแหน่ง
พูดถึงข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างตำแหน่งราชการกับพนักงานกระทรวงสาธารณสุขซึ่งคาดว่าเงินเดือนเป็น 1.2 เท่าของข้าราชการ ไม่มีเงินประจำตำแหน่ง ไม่ได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์  ไม่มีบำเหน็จบำนาญ ได้เงิน พตส. มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีประกันสังคม ฯลฯ ร่างระเบียบเสร็จแล้วน่าจะเริ่มใช้ได้เร็วๆนี้
รายละเอียดทั้งหมด ดูได้จากวิดีโอคลิปครับ

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มองให้เป็นเห็นต้นไม้เป็นครูของเรา



เมื่อคราวไปประชุมวิชาการ AACRT ครั้งที่ 19 ที่โรงแรมปางสวนแก้ว เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 16-18  มกราคม 2556 นอกจากจะได้มีโอกาสเป็นผู้ดำเนินการอภิปรายเรื่อง ความก้าวหน้าของสายงานรังสีการแพทย์ของไทย ร่วมอภิปรายกับนายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผศ.ดร.บรรจง เขื่อนแก้ว ประธานกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิค และนายสละ อุบลฉาย นายกสมาคมรังสีเทคนิคแห่งประเทศไทยแล้ว ยังได้มีโอกาสไหว้พระ 5 วัด ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร วัดพันเตา วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร และวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร(ลำพูน)
มองจากห้องพักโรงแรมปางสวนแก้ว
วัดพระสิงห์ฯ กับลูกศิษย์ภูฏานและเพื่อนต่างชาติที่มาประชุม
     การเดินทางไปกราบพระตามวัดต่างๆที่กล่าวมานั้น ต้องขอขอบคุณผศ.ลัดดา เฉลยกิตติ ที่ให้รถอาจารย์อำไพ อุไรเวโรจนากร มาใช้ระหว่างอยู่ที่เชียงใหม่  ผม ภรรยาและลูกก็เลยได้อาศัยโดยสารไปด้วย
การขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพนั้น  เรานั่งรถเก๋งจากโรงแรม ไปจอดรถไว้ที่อาคารจอดรถของสวนสัตว์เชียงใหม่ และต่อรถแดงที่หน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ซึ่งอยู่ที่ทางขึ้นดอยสุเทพ  ระหว่างทางขึ้นเขา โดนรถเหวี่ยงไปมาตามแรงหนีศูนย์กลางเมื่อรถวิ่งเข้าทางโค้งซึ่งมีหลายโค้ง บางโค้งก็ติดๆกัน เหวี่ยงไปมา เผลอนิดเดียวมึนเลย ระหว่างนั้น จิตใจมันจดจ่ออยู่ที่พระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ดอยปุย แทบจะไม่ได้มองความสวยงามระหว่างทางที่ขึ้นไปเลย และลุ้นว่าตัวเองจะเมารถหรือไม่ เกือบเมาครับ แต่ก็รอดมาได้ 
     นี่แหล่ะคือ ตัวอย่างของการขึ้นสู่เป้าหมายที่สูงๆ ซึ่งหากเทียบเคียงกับการทำงานโดยมุ่งแต่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ซะสูงมากๆ จึงมีโอกาสสูงที่จะพลาดการชื่นชมความงามระหว่างทาง พึงระวังให้มากๆครับ อาจสูญเสียมิตรภาพไปในระหว่างทางได้ 
เราเลยขึ้นไปแวะชมความงามของต้นไม้ ดอกไม้ที่ภูพิงคก่อน แล้วเดินทางต่อขึ้นไปบนดอยตุง ถนนช่วงนี้แคบมาก ลุ้นตลอดทาง เสร็จแล้วกลับลงมานมัสการพระธาตุดอยสุเทพ
ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ยังคงความงามของดอกไม้และต้นไม้ที่ไม่จืดจาง น้ำส้มคั้นสดๆ และดอกไม้งามทำให้รู้สึกสดชื่นและหายเหนื่อย
แวะชมหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งบนดอยปุย ชมดอกฝิ่น พิพิธภัณฑ์ ถ่ายรูปชุดม้ง แดดจัดมากแต่อากาศเย็นสบายกำลังดี เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปในชุดม้ง จนอาจารย์อำไพเผลอลืมหมวกทิ้งไว้ที่นั่นจนได้  เป็นหมวกที่ซื้อจากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ซะด้วย
พระธาตุดอยสุเทพ พระธาตุสีทองคำระยิบระยับ ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ยังคงความงดงามและมนต์ขลัง มีพลังงานบางอย่างที่ทำให้จิตใจของเราเยือกเย็นลงและสงบอย่างน่าประหลาดแท้ในทุกครั้งที่ได้ขึ้นไปนมัสการ แม้ผู้คนจะมาก ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ระหว่างที่ชมพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เห็นดอกไม้งดงามและต้นไม้น้อยใหญ่ เป็นเสมือนดินแดนในฝัน ทำให้นึกถึงคำสอนของอาจารย์นานมาแล้วว่า
ต้นไม้ยิ่งเสียดยอดสูงใหญ่ ยิ่งต้องมีรากที่หยั่งลึกลงไปในดินมากเพื่อความมั่นคง
เรามักจะเห็นต้นไม้ขึ้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สามัคคีกัน ซึ่งทำให้มันสามารถต้านทานแรงลมพายุได้ ไม่เคยเห็นต้นไม้มันทำร้ายกันเอง หากบังเอิญมีต้นไม้พยายามสูงใหญ่ขึ้นอยู่ต้นเดียวโด่เด่  ต้นไม้ต้นนั้นเมื่อโดนลมพายุพัดก็จะหักโค่นได้ง่าย
ต้นไม้ รักษาดินให้ความร่มเย็นแก่โลก ดูดน้ำผ่านรากลำต้นถึงกิ่งใบ สังเคราะห์แสง ให้ออกซิเจนและอาหารแก่โลก  มนุษย์เราได้ใช้ประโยชน์จากต้นไม้มากมายเหลือคณานับ
กระดาษทำจากตันไม้ มีคำกล่าวว่า มองผ่านกระดาษแผ่นเดียวสามารถมองเห็นจักรวาลได้ จริงหรือไม่ ลองคิดดูครับว่ากว่าจะได้กระดาษมาซักแผ่นเดียวต้องมีกระบวนการอะไรบ้าง ไม่น่าเชื่อว่า ทั้งจักรวาลเชื่อมโยงมาที่กระดาษแผ่นเดียวได้
ต้นไม้ทำหน้าที่หลายอย่างเหลือเกิน
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ต้นไม้ทำหน้าที่ของมันโดยไม่มีใครสั่ง ไม่เคยเรียกร้องขอรางวัลคุณความดีจากใคร ไม่เคยอวดอ้างว่าฉันดีฉันเด่นนะ
เหล่านี้ ชาวเราคงเห็นด้วยถ้าจะกล่าวว่า มองให้เป็นเห็นต้นไม้เป็นครูของเรา
ต้นไม้บอกเราว่า ให้เราทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องชอบธรรมโดยไม่ต้องให้ใครมาสั่ง เราไม่อวดอ้างว่าเราดี เราอยู่และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดี เรามีรากฐาน จิตใจดี ความคิดดี ทำดี วิชาการดี ซึ่งทำให้เราเติบโตสูงใหญ่ขึ้นอย่างมั่นคง ฯลฯ ต้นไม้สอนเราอย่างนี้
มีชาวเราบางคนถึงหลายคนบ่นให้ฟังว่า หน้าที่ของเราคือทำงาน routine เบื่อจัง เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำมืด ดึกดื่น เหมือนเดิม เซ็งง่ะอาจารย์ ทำไงดี
ก็เลยอธิบายไปว่า
ที่เรารอดอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะเราทำหน้าที่ที่เรียกว่างาน routine มิใช่รึ
ดูอย่างการหายใจของเราก็เป็นงาน routine เราหายใจ เข้า-ออก เป็น routine ตลอดเวลาแม้ยามนอนหลับ ลองไม่หายใจดูซิ อะไรจะเกิดขึ้น 
หรือแค่เปลี่ยนจังหวะการหายใจก็ได้ ไม่ต้องหายใจแบบ routine หรอก ลองทำดูครับ
หายใจเข้าอย่างเดียว หรือหายใจออกอย่างเดียว ไม่ได้ใช่ไหม
      โปรดอย่าดูแคลนงาน routine เลย
คือ เราต้องฝึกมองแบบ positive thinking บ่อยๆให้เป็น routine ให้ชิน (P2R=positive thinking to routine) มองส่วนดีให้ชีวิตมีความ ชุ่มชื่น กระปี้กระเปล่า  แค่นี้ก็สุขโขสโมสรแล้ว

Related Links:
แค่น้ำหยดเดียวมีค่ายิ่ง
ขันติเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์