ผมไม่เชี่ยวชาญเรื่องราชาศัพท์
ดังนั้น ข้อเขียนนี้จึงเป็นข้อเขียนของสามัญชนคนธรรมดา ใช้ถ้อยคำธรรมดาสามัญที่กลั่นออกมาจากใจ
ด้วยความจงรักภักดี เพื่อถวายความอาลัยอย่างหาที่สุดมิได้ และคำว่า “ในหลวง” ที่ใช้ต่อไปนี้ หมายถึง “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” หรือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ”
ตอนผมเป็นเด็กเมื่อเกือบ
60 ปีที่แล้ว ผมเกิด วิ่งเล่น
และเรียนหนังสือ ที่ตำบลช่องแค (อ.ตาคลี นครสวรรค์) ในครอบครัวช่างตีเหล็ก อยู่ในชนบทกันดาร
ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ถนนผ่านตำบลเละเป็นโคลนเป็นหลุมเป็นบ่อเมื่อฝนตก
ไม่มีโทรศัพท์ มีหมอคนเดียว ฯลฯ ชาวบ้านรับรู้ข่าวสารต่างๆผ่านทางวิทยุและหนังสือพิมพ์เป็นหลัก
ได้เห็นผู้ใหญ่อ่านหนังสือพิมพ์ทุกเช้า รวมกลุ่มเป็นสภากาแฟ
ระหว่างทำงานก็เปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ฟังเพลงฟังข่าวสารเป็นเพื่อน ซึ่งวิทยุนั้นมักใช้ถ่านไฟฉายตรากบ
มีเพลงโฆษณาถ่านไฟฉายตรากบ ได้ยินทางวิทยุจนผมร้องได้ การรับรู้ข่าวสารต่างๆในเมืองหลวง
จากรัฐบาล ข่าวสำนักพระราชวัง ก็ผ่านช่องทางนี้เป็นหลัก ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น
นอกนั้นจินตนาการล้วนๆ มันช่างรู้สึกห่างไกลสุดเอื้อมเหลือเกินระหว่างช่องแคกับเมืองหลวง
ความเป็นอยู่น่าจะยากลำบากมากใช่ไหมครับ
แต่ผมตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่ามันยากลำบาก อบอุ่น สนุกสนานไปตามประสาเด็ก ผมวิ่งเล่นเข้าบ้านโน้น
ออกบ้านนี้ เรียกพ่อและแม่กันทุกบ้าน ได้เวลากินข้าวที่บ้านไหน ก็ร่วมวงกินได้เลย
ไม่รู้สึกแปลกแยก เวลาที่แม่ผมทำแกงผมไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไมแม่จึงทำแกงหม้อใหญ่มาก
ทั้งที่ในบ้านมีแค่ 4 คน แม่ตักแกงใส่ชามแล้วให้ผมไปให้ที่บ้านแม่เหลือบ
บ้านแม่ปอง บ้านแม่มา บ้านแม่......ฯลฯ แล้วแต่ละบ้านก็จะให้แกงจืดบ้าง ผัดผักบ้าง
น้ำพริกผักสด-ต้ม กลับมาที่บ้านผม ทำให้มีกับข้าวกินหลายอย่าง
ทั้งที่แม่ทำแกงเพียงอย่างเดียว เรากินกันเอร็ดอร่อยมากทุกวัน เป็นสังคมแบ่งปันจริงๆ
ทั้งตำบลเสมือนเป็นญาติกัน และสิ่งที่ผมเห็นจนชินตาคือ ทุกบ้านจะมีรูปในหลวง พระราชินี พระราชชนนี ฯลฯ ประดับบ้าน
และผู้ใหญ่ก็จะบอกว่า พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ของเรา ท่านเสด็จไปทุกที่เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้เรา
ผมยกมือไหว้มองรูปภาพนั้นบ่อยมาก พยายามจดจำ
และคิดฝันว่าอยากได้เห็นตัวจริงของพระองค์ท่านสักครั้ง ด้วยสงสัยว่าตัวจริงจะเป็นอย่างไรหนอ
ก็คิดไปเรื่อยแบบเด็กๆ
วันเวลาผ่านไป
วันแล้ววันเล่า ชาวบ้านต่างก็ทำมาหากิน พ่อกับแม่ของผมก็ตีเหล็กทุกวัน เด็กๆส่วนใหญ่ไปโรงเรียน
วันหนึ่งได้ข่าวว่า พระราชชนนีจะเสด็จมาที่อำเภอตากฟ้า ซึ่งไกลออกไปจากช่องแคร่วม 30 กิโลเมตร สมัยนี้ไม่ไกลเลย
ขับรถไม่กี่นาทีก็ถึง แต่สมัยนั้น การเดินทาง 30 กิโลเมตรใช้เวลามากกว่าชั่วโมง ถนนหนทางเชื่อมต่อระหว่างตำบล ระหว่างอำเภอ
เป็นถนนลูกรังไม่เรียบ ทำให้การเดินทางทุลักทุเลเต็มทน แต่ดูเหมือนไม่เป็นอุปสรรคสำหรับชาวบ้านช่องแคที่จะได้เดินทางเพื่อเข้าเฝ้าพระราชชนนี
เพราะการที่ท่านเสด็จมานั้น เป็นสิ่งที่มีค่า มีความหมายต่อชาวบ้านที่ห่างไกลมากๆ ผมเห็นผู้ใหญ่กระตือรือร้นที่จะได้เฝ้าพระองค์ท่าน
ผมก็ได้ติดตามพ่อและแม่ไปด้วย และได้เห็นรอยยิ้มจริงๆที่เปี่ยมด้วยเมตตาของท่านใกล้ๆ
เด็กๆอย่างผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอย่างที่สุด ช่างอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก
วันที่ตื้นเต้นอีกคราวหนึ่งคือพ่อผมบอกว่า
“เร็วๆๆๆ ในหลวงและราชินีจะเสด็จ” คราวนี้มาที่ช่องแคเลย สีหน้าท่าทางพ่อดู ตื่นเต้น
ดีใจและมีความสุขมาก ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ผมก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเหมือนเดิมเพราะยังไร้เดียงสา
คิดในใจคงเหมือนที่ไปตากฟ้าแน่เลย แอบดีใจตามประสาเด็ก เพราะจะได้เห็นท่านจริงๆใกล้ๆชัดๆซักที
พ่อพาผมไปรอรับเสด็จที่สถานีรถไฟช่องแค ผู้คนเยอะมากน่าจะมาทั้งตำบล ต่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ใจจดใจจ่อ รออยู่นานมากแต่เหมือนไม่นาน เมื่อถึงเวลา
รถไฟพระที่นั่งเคลื่อนมาถึงลดความเร็วลง เคลื่อนไปช้าๆ เสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องสถานีรถไฟช่องแค
ทำให้เด็กอย่างผมขนลุก ผมได้เห็นพระองค์ท่านทั้ง 2 พระองค์จริงๆ โบกพระหัตถ์และยิ้มผ่านทางหน้าต่างรถไฟพระที่นั่งในระยะไกลๆแค่แว๊บเดียว
เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตาบารมี แล้วก็แล่นผ่านสถานีช่องแคไปเพื่อเสด็จขึ้นภาคเหนือโดยไม่จอด
แค่แว๊บเดียวจริงๆ เป็นช่วงเวลาที่แม้จะสั้น แต่ก็ทำให้ผมดีใจที่สุด ขนลุก ชาวบ้านในที่นั้นก็เช่นกัน
ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นบุญของพวกเราที่ได้เฝ้าพระองค์
เมื่อผมเติบโตขึ้น
นึกย้อนกลับไป จึงรู้และเข้าใจว่า แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆที่ได้เห็นพระองค์ท่าน
ชาวบ้านก็อดทนรอคอยที่จะได้เห็นในหลวงของเขา ด้วยความรักที่มีต่อในหลวงอย่างลึกซึ้ง
ความรักความผูกพันที่ก่อเกิดขึ้นเอง เพราะพระองค์ท่านเป็นเหมือนน้ำทิพย์ที่โปรยปรายให้ชาวบ้านในถิ่นธุระกันดารและทั่วไปได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข
ปี 2516
ผมเป็นน้องใหม่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วันที่วิเศษสุดๆสำหรับผมคือ วันที่ในหลวงเสด็จมาจุฬาฯเพื่อทรงดนตรี
เป็นอะไรที่ตื้นตันมากครับ ในหลวงทรงดนตรีให้เราฟังที่หอประชุมจุฬาฯ
มันเป็นไปได้อย่างไรที่พระมหากษัตริย์จะทรงดนตรีให้เด็กๆอย่างพวกผมฟัง ในหลวงทรงพูดกับนักศึกษาอย่างเป็นกันเอง
ให้นักศึกษาขอเพลงได้ด้วย นั่นเป็นที่สุดแห่งความปราบปลื้มในชีวิตของเด็กบ้านนอกอย่างผมแล้วครับ
เหมือนฝันไปจริงๆ!!!
แล้วต่อมาเมื่อผมเรียนจบทั้งปริญญาตรีและโทที่จุฬาฯ
ผมได้มีโอกาสรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของในหลวงทั้งสองครั้ง
เป็นบุญวาสนาของผมยิ่งนักที่ได้มีโอกาสเช่นนี้ พระจริยาวัตรอันงดงามมากมายและพระบรมราโชวาทของพระองค์เป็นแรงบันดาลใจ
เป็นพลังใจให้ผมมุ่งมั่นทำงานในฐานะเป็นข้าราชการ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล สอนรังสีเทคนิคตั้งแต่ปี
2523 รวม 35
ปีจนเกษียณ มุ่งมั่นทำงานตามหน้าที่เพื่อประโยชน์ของผู้อื่นและประโยชน์ตนอย่างถูกต้องโดยไม่บ่น
ไม่ท้อแท้สิ้นหวัง แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม พอรู้สึกเหนื่อยคราใดก็คิดเสมอว่า “ในหลวงยังไม่บ่น ไม่ท้อเลย” แค่นี้ก็กลับมีพลังเดินหน้าต่อได้
เรื่องการปิดทองหลังพระ เป็นหนึ่งในความประทับใจของผม ในการบรรยายให้นักศึกษารังสีเทคนิคฟัง ผมมักเริ่มต้นด้วยการให้นักศึกษาได้พิจารณาพระบรมราโชวาทของในหลวง ดังนี้
"การปิดทองหลังพระนั้น
เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด
ว่าที่จริงแล้ว
คนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก
เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น
แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า
ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย
พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้…."
|
โรงพยาบาลศิริราช |
ช่วงเวลาที่ในหลวงเสด็จมาโรงพยาบาลศิริราชเพื่อประทับรักษาพระอาการประชวร ที่ชั้น
16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ เป็นอาคารที่อยู่ติดกับคณะเทคนิคการแพทย์ บังเอิญชั้น 10 เป็นที่ตั้งของภาควิชารังสีเทคนิค
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยผมเป็นหัวหน้าภาควิชารังสีเทคนิคในช่วงเวลานั้น
ทุกเช้าในวันที่ต้องเข้าทำงานที่ชั้น 10 จะตั้งจิตอธิษฐานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยดลบันดาลให้พระองค์หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน
ครั้นเมื่อผมเกษียณแล้วในปี 2558
ก็ได้ไปจัดตั้งคณะรังสีเทคนิคที่มหาวิทยาลัยรังสิต
จึงไม่ค่อยจะมีโอกาสมาที่โรงพยาบาลศิริราชบ่อยเหมือนเมื่อก่อน
และแล้ววันที่
13 ตุลาคม 2559 ขณะที่ผมขับรถจากมหาวิทยาลัยรังสิตเพื่อกลับบ้านตามปกติเหมือนทุกวัน ผ่านมาถึงถนนราชพฤกษ์ใกล้ถึงถนนเพชรเกษมแล้วประมาณหนึ่งทุ่ม
สังหรณ์ใจตั้งแต่บ่ายแล้วว่าวันนี้คงมีข่าวไม่สู้ดีนักเกี่ยวกับในหลวง ฟังวิทยุในรถ
โฆษกประกาศว่า วันนี้พฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52
นาที ในหลวง เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช
ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี หัวใจแทบสลายครับ
มันจุก แน่นอกทันที น้ำตาไหลพราก จอดรถก่อนไม่กล้าขับต่อไป ตั้งสติแล้วค่อยขับต่อไปจนถึงบ้าน
เศร้าใจอย่างที่สุดครับ ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าเป็นธรรมดาที่อย่างไรเสียวันนี้ก็ต้องมาถึงสักวันหนึ่งแน่ๆ
แต่ก็หักห้ามใจได้ยากที่จะกลั้นน้ำตาไว้
เช้าตรู่วันศุกร์ที่
14 ตุลาคม 2559 ผมขับรถไปม.รังสิตเพื่อร่วมถวายความอาลัยอย่างที่สุดร่วมกับท่านอธิการ
ผู้บริหาร บุคลากร และนักศึกษา ผ่านสี่แยกศิริราชรถไม่ติดเลย ชลอความเร็วรถ
เห็นผู้คนนั่งรอส่งเสด็จที่ฟุตบาทเนืองแน่น น้ำตาผมเริ่มเอ่อไหลออกมาอีก
กลั้นไม่อยู่ครับ เมื่อมองเข้าไปในโรงพยาบาลศิริราช ช่างเศร้าใจเหลือเกิน.... จะไม่ได้เห็นในหลวงอย่างที่เคยได้เห็นมาอีกแล้ว
ตั้งแต่ผมเล็กๆจำความได้อย่างที่เล่าให้ฟังจนผ่านมา 61 ปี ได้เห็น ได้ประจักษ์ว่าพระองค์ท่านทำอะไรต่ออะไรที่เป็นประโยชน์เยอะไปหมด
ทำไมคนๆหนึ่ง จึงสามารถทำอะไรเพื่อผู้อื่นได้มากมายขนาดนั้น ไม่ได้สบายเลยนะครับทั้งที่พระองค์ท่านเป็นถึงพระมหากษัตริย์
ท่านเสวยสุขในพระราชวังก็ได้ .... สำหรับผมนั้น สิ่งที่ได้ทำและที่กำลังทำ มันเล็กน้อยเหลือเกิน
เป็นเพียงธุลีดินเท่านั้น พระองค์จะประทับอยู่ในใจผมตลอดไป ...หากชาติหน้ามีจริงขอเกิดใต้ร่มพระบารมีของพระองค์เป็นข้ารองพระบาททุกชาติ
... และขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะดำเนินรอยตามแบบอย่างของพระองค์อย่างสุดความสามารถ
ข้าพระพุทธเจ้า รองศาสตราจารย์มานัส มงคลสุข