ผมไม่เชี่ยวชาญเรื่องราชาศัพท์
ดังนั้น ข้อเขียนนี้จึงเป็นข้อเขียนของสามัญชนคนธรรมดา ใช้ถ้อยคำธรรมดาสามัญที่กลั่นออกมาจากใจ
ด้วยความจงรักภักดี เพื่อถวายความอาลัยอย่างหาที่สุดมิได้ และคำว่า “ในหลวง” ที่ใช้ต่อไปนี้ หมายถึง “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” หรือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ”
ความเป็นอยู่น่าจะยากลำบากมากใช่ไหมครับ
แต่ผมตอนนั้นไม่ได้คิดเลยว่ามันยากลำบาก อบอุ่น สนุกสนานไปตามประสาเด็ก ผมวิ่งเล่นเข้าบ้านโน้น
ออกบ้านนี้ เรียกพ่อและแม่กันทุกบ้าน ได้เวลากินข้าวที่บ้านไหน ก็ร่วมวงกินได้เลย
ไม่รู้สึกแปลกแยก เวลาที่แม่ผมทำแกงผมไม่เคยสงสัยเลยว่าทำไมแม่จึงทำแกงหม้อใหญ่มาก
ทั้งที่ในบ้านมีแค่ 4 คน แม่ตักแกงใส่ชามแล้วให้ผมไปให้ที่บ้านแม่เหลือบ
บ้านแม่ปอง บ้านแม่มา บ้านแม่......ฯลฯ แล้วแต่ละบ้านก็จะให้แกงจืดบ้าง ผัดผักบ้าง
น้ำพริกผักสด-ต้ม กลับมาที่บ้านผม ทำให้มีกับข้าวกินหลายอย่าง
ทั้งที่แม่ทำแกงเพียงอย่างเดียว เรากินกันเอร็ดอร่อยมากทุกวัน เป็นสังคมแบ่งปันจริงๆ
ทั้งตำบลเสมือนเป็นญาติกัน และสิ่งที่ผมเห็นจนชินตาคือ ทุกบ้านจะมีรูปในหลวง พระราชินี พระราชชนนี ฯลฯ ประดับบ้าน
และผู้ใหญ่ก็จะบอกว่า พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ของเรา ท่านเสด็จไปทุกที่เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้เรา
ผมยกมือไหว้มองรูปภาพนั้นบ่อยมาก พยายามจดจำ
และคิดฝันว่าอยากได้เห็นตัวจริงของพระองค์ท่านสักครั้ง ด้วยสงสัยว่าตัวจริงจะเป็นอย่างไรหนอ
ก็คิดไปเรื่อยแบบเด็กๆ
วันเวลาผ่านไป
วันแล้ววันเล่า ชาวบ้านต่างก็ทำมาหากิน พ่อกับแม่ของผมก็ตีเหล็กทุกวัน เด็กๆส่วนใหญ่ไปโรงเรียน
วันหนึ่งได้ข่าวว่า พระราชชนนีจะเสด็จมาที่อำเภอตากฟ้า ซึ่งไกลออกไปจากช่องแคร่วม 30 กิโลเมตร สมัยนี้ไม่ไกลเลย
ขับรถไม่กี่นาทีก็ถึง แต่สมัยนั้น การเดินทาง 30 กิโลเมตรใช้เวลามากกว่าชั่วโมง ถนนหนทางเชื่อมต่อระหว่างตำบล ระหว่างอำเภอ
เป็นถนนลูกรังไม่เรียบ ทำให้การเดินทางทุลักทุเลเต็มทน แต่ดูเหมือนไม่เป็นอุปสรรคสำหรับชาวบ้านช่องแคที่จะได้เดินทางเพื่อเข้าเฝ้าพระราชชนนี
เพราะการที่ท่านเสด็จมานั้น เป็นสิ่งที่มีค่า มีความหมายต่อชาวบ้านที่ห่างไกลมากๆ ผมเห็นผู้ใหญ่กระตือรือร้นที่จะได้เฝ้าพระองค์ท่าน
ผมก็ได้ติดตามพ่อและแม่ไปด้วย และได้เห็นรอยยิ้มจริงๆที่เปี่ยมด้วยเมตตาของท่านใกล้ๆ
เด็กๆอย่างผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอย่างที่สุด ช่างอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก
วันที่ตื้นเต้นอีกคราวหนึ่งคือพ่อผมบอกว่า
“เร็วๆๆๆ ในหลวงและราชินีจะเสด็จ” คราวนี้มาที่ช่องแคเลย สีหน้าท่าทางพ่อดู ตื่นเต้น
ดีใจและมีความสุขมาก ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ผมก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเหมือนเดิมเพราะยังไร้เดียงสา
คิดในใจคงเหมือนที่ไปตากฟ้าแน่เลย แอบดีใจตามประสาเด็ก เพราะจะได้เห็นท่านจริงๆใกล้ๆชัดๆซักที
พ่อพาผมไปรอรับเสด็จที่สถานีรถไฟช่องแค ผู้คนเยอะมากน่าจะมาทั้งตำบล ต่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ใจจดใจจ่อ รออยู่นานมากแต่เหมือนไม่นาน เมื่อถึงเวลา
รถไฟพระที่นั่งเคลื่อนมาถึงลดความเร็วลง เคลื่อนไปช้าๆ เสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องสถานีรถไฟช่องแค
ทำให้เด็กอย่างผมขนลุก ผมได้เห็นพระองค์ท่านทั้ง 2 พระองค์จริงๆ โบกพระหัตถ์และยิ้มผ่านทางหน้าต่างรถไฟพระที่นั่งในระยะไกลๆแค่แว๊บเดียว
เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตาบารมี แล้วก็แล่นผ่านสถานีช่องแคไปเพื่อเสด็จขึ้นภาคเหนือโดยไม่จอด
แค่แว๊บเดียวจริงๆ เป็นช่วงเวลาที่แม้จะสั้น แต่ก็ทำให้ผมดีใจที่สุด ขนลุก ชาวบ้านในที่นั้นก็เช่นกัน
ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นบุญของพวกเราที่ได้เฝ้าพระองค์
เมื่อผมเติบโตขึ้น
นึกย้อนกลับไป จึงรู้และเข้าใจว่า แม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆที่ได้เห็นพระองค์ท่าน
ชาวบ้านก็อดทนรอคอยที่จะได้เห็นในหลวงของเขา ด้วยความรักที่มีต่อในหลวงอย่างลึกซึ้ง
ความรักความผูกพันที่ก่อเกิดขึ้นเอง เพราะพระองค์ท่านเป็นเหมือนน้ำทิพย์ที่โปรยปรายให้ชาวบ้านในถิ่นธุระกันดารและทั่วไปได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข
ปี 2516
ผมเป็นน้องใหม่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วันที่วิเศษสุดๆสำหรับผมคือ วันที่ในหลวงเสด็จมาจุฬาฯเพื่อทรงดนตรี
เป็นอะไรที่ตื้นตันมากครับ ในหลวงทรงดนตรีให้เราฟังที่หอประชุมจุฬาฯ
มันเป็นไปได้อย่างไรที่พระมหากษัตริย์จะทรงดนตรีให้เด็กๆอย่างพวกผมฟัง ในหลวงทรงพูดกับนักศึกษาอย่างเป็นกันเอง
ให้นักศึกษาขอเพลงได้ด้วย นั่นเป็นที่สุดแห่งความปราบปลื้มในชีวิตของเด็กบ้านนอกอย่างผมแล้วครับ
เหมือนฝันไปจริงๆ!!!
แล้วต่อมาเมื่อผมเรียนจบทั้งปริญญาตรีและโทที่จุฬาฯ
ผมได้มีโอกาสรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์ของในหลวงทั้งสองครั้ง
เป็นบุญวาสนาของผมยิ่งนักที่ได้มีโอกาสเช่นนี้ พระจริยาวัตรอันงดงามมากมายและพระบรมราโชวาทของพระองค์เป็นแรงบันดาลใจ
เป็นพลังใจให้ผมมุ่งมั่นทำงานในฐานะเป็นข้าราชการ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล สอนรังสีเทคนิคตั้งแต่ปี
2523 รวม 35
ปีจนเกษียณ มุ่งมั่นทำงานตามหน้าที่เพื่อประโยชน์ของผู้อื่นและประโยชน์ตนอย่างถูกต้องโดยไม่บ่น
ไม่ท้อแท้สิ้นหวัง แม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม พอรู้สึกเหนื่อยคราใดก็คิดเสมอว่า “ในหลวงยังไม่บ่น ไม่ท้อเลย” แค่นี้ก็กลับมีพลังเดินหน้าต่อได้
เรื่องการปิดทองหลังพระ เป็นหนึ่งในความประทับใจของผม ในการบรรยายให้นักศึกษารังสีเทคนิคฟัง ผมมักเริ่มต้นด้วยการให้นักศึกษาได้พิจารณาพระบรมราโชวาทของในหลวง ดังนี้
"การปิดทองหลังพระนั้น
เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด
ว่าที่จริงแล้ว
คนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก
เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น
แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า
ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย
พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้…."
ช่วงเวลาที่ในหลวงเสด็จมาโรงพยาบาลศิริราชเพื่อประทับรักษาพระอาการประชวร ที่ชั้น
16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ เป็นอาคารที่อยู่ติดกับคณะเทคนิคการแพทย์ บังเอิญชั้น 10 เป็นที่ตั้งของภาควิชารังสีเทคนิค
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยผมเป็นหัวหน้าภาควิชารังสีเทคนิคในช่วงเวลานั้น
ทุกเช้าในวันที่ต้องเข้าทำงานที่ชั้น 10 จะตั้งจิตอธิษฐานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยดลบันดาลให้พระองค์หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน
ครั้นเมื่อผมเกษียณแล้วในปี 2558
ก็ได้ไปจัดตั้งคณะรังสีเทคนิคที่มหาวิทยาลัยรังสิต
จึงไม่ค่อยจะมีโอกาสมาที่โรงพยาบาลศิริราชบ่อยเหมือนเมื่อก่อน
และแล้ววันที่
13 ตุลาคม 2559 ขณะที่ผมขับรถจากมหาวิทยาลัยรังสิตเพื่อกลับบ้านตามปกติเหมือนทุกวัน ผ่านมาถึงถนนราชพฤกษ์ใกล้ถึงถนนเพชรเกษมแล้วประมาณหนึ่งทุ่ม
สังหรณ์ใจตั้งแต่บ่ายแล้วว่าวันนี้คงมีข่าวไม่สู้ดีนักเกี่ยวกับในหลวง ฟังวิทยุในรถ
โฆษกประกาศว่า วันนี้พฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52
นาที ในหลวง เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิริราช
ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี หัวใจแทบสลายครับ
มันจุก แน่นอกทันที น้ำตาไหลพราก จอดรถก่อนไม่กล้าขับต่อไป ตั้งสติแล้วค่อยขับต่อไปจนถึงบ้าน
เศร้าใจอย่างที่สุดครับ ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าเป็นธรรมดาที่อย่างไรเสียวันนี้ก็ต้องมาถึงสักวันหนึ่งแน่ๆ
แต่ก็หักห้ามใจได้ยากที่จะกลั้นน้ำตาไว้
เช้าตรู่วันศุกร์ที่
14 ตุลาคม 2559 ผมขับรถไปม.รังสิตเพื่อร่วมถวายความอาลัยอย่างที่สุดร่วมกับท่านอธิการ
ผู้บริหาร บุคลากร และนักศึกษา ผ่านสี่แยกศิริราชรถไม่ติดเลย ชลอความเร็วรถ
เห็นผู้คนนั่งรอส่งเสด็จที่ฟุตบาทเนืองแน่น น้ำตาผมเริ่มเอ่อไหลออกมาอีก
กลั้นไม่อยู่ครับ เมื่อมองเข้าไปในโรงพยาบาลศิริราช ช่างเศร้าใจเหลือเกิน.... จะไม่ได้เห็นในหลวงอย่างที่เคยได้เห็นมาอีกแล้ว
ตั้งแต่ผมเล็กๆจำความได้อย่างที่เล่าให้ฟังจนผ่านมา 61 ปี ได้เห็น ได้ประจักษ์ว่าพระองค์ท่านทำอะไรต่ออะไรที่เป็นประโยชน์เยอะไปหมด
ทำไมคนๆหนึ่ง จึงสามารถทำอะไรเพื่อผู้อื่นได้มากมายขนาดนั้น ไม่ได้สบายเลยนะครับทั้งที่พระองค์ท่านเป็นถึงพระมหากษัตริย์
ท่านเสวยสุขในพระราชวังก็ได้ .... สำหรับผมนั้น สิ่งที่ได้ทำและที่กำลังทำ มันเล็กน้อยเหลือเกิน
เป็นเพียงธุลีดินเท่านั้น พระองค์จะประทับอยู่ในใจผมตลอดไป ...หากชาติหน้ามีจริงขอเกิดใต้ร่มพระบารมีของพระองค์เป็นข้ารองพระบาททุกชาติ
... และขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะดำเนินรอยตามแบบอย่างของพระองค์อย่างสุดความสามารถ
ข้าพระพุทธเจ้า รองศาสตราจารย์มานัส มงคลสุข