พ.ศ. 2558 เป็นปีที่ภาควิชารังสีเทคนิค คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ก่อตั้งมาครบ 50 ปีพอดิบพอดี ในฐานะที่ได้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนรังสีเทคนิคและเป็นผู้บริหารตั้งแต่ พ.ศ. 2523 ขอถือโอกาสนี้บันทึกร่องรอยกำเนิดและการเดินทางของภาควิชารังสีเทคนิค เพื่อให้ผู้สนใจได้ทราบความเป็นมาของภาควิชารังสีเทคนิค และวิชาชีพรังสีเทคนิค เนื้อหาส่วนใหญ่ เรียบเรียงขึ้นโดยใช้ข้อมูลที่มีแหล่งอ้างอิงเป็นเอกสาร บางส่วนได้จากคำบอกเล่าของอาจารย์อวุโสที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว รวมถึงศิษย์เก่าอวุโส ร่องรอยเหล่านี้ถูกบันทึกไว้หลายครั้งแต่กระจัดกระจาย ต่อมาเมื่อพุทธศักราช 2550 ผมได้รวบรวมขึ้นใหม่และตรวจสอบข้อมูลให้สามารถอ้างอิงได้ เขื่อถือได้ และเขียนไว้ในรายงานประจำปีของภาควิชา ต่อจากนั้นได้มีการปรับปรุงแก้ไขมาทุกปีเพื่อให้ข้อมูลมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
พุทธศักราช 2441
พระยาบำบัดสรรพโรค นายแพทย์ใหญ่กองลหุโทษได้สั่งเครื่องเอกซเรย์เครื่องแรกเข้ามาในประเทศไทย ในครั้งกระนั้นผู้ช่วยแพทย์ในการทำงานด้านเอกซเรย์ก็ได้อาศัยพยาบาลเป็นส่วนใหญ่โดยมีแพทย์เป็นผู้ฝึกหัดให้ ซึ่งก็ทำกันไปได้เนื่องจากงานยังมีไม่มากนัก ต่อมาการใช้เครื่องเอกซเรย์เริ่มแพร่หลายและเริ่มมีบทบาทสำคัญต่อการวินิจฉัยและรักษาโรคมากขึ้น เครื่องมือสำหรับใช้งานทั้งทางด้านรังสีวินิจฉัย รังสีรักษา และเวชศาสตร์นิวเคลียร์ ถูกทยอยสั่งเข้ามาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ
พุทธศักราช 2505 การสำรวจของ WHO
นายแพทย์สุพจน์ อ่างแก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนรังสีเทคนิค |
องค์การอนามัยโลกได้ส่ง Mr.D.R.E. Ernborg
ผู้ชำนาญทางเอกซเรย์เข้ามาสำรวจในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2505 ถึงวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2506 พบว่าในขณะนั้นประเทศไทยมีเครื่องเอกซเรย์ใช้มากกว่า
500 เครื่อง แต่ยังไม่มีบุคลากรที่ได้รับการอบรมเฉพาะด้านรังสีเอกซ์เลย จึงได้รายงานไว้ในรายงาน WHO SEA/RAD/11 ว่า ควรจะได้มีการจัดตั้งโรงเรียนอบรมพนักงานวิทยาศาสตร์ในสาขารังสีเอกซ์ขึ้น ซึ่งองค์การอนามัยโลกก็ได้เสนอรายงานนี้ให้กับรัฐบาลไทย
รัฐบาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรให้มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ดำเนินการ โดยผ่านทางกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์นายแพทย์ อำนวย เสมรสุต หัวหน้าภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์
ศิริราชพยาบาลในขณะนั้นได้ปรึกษากับศาสตราจารย์นายแพทย์วีกูล วีรานุวัตติ์ คณบดีคณะเทคนิคการแพทย์เห็นพ้องว่า ควรทำเป็นโครงการร่วมระหว่างภาควิชารังสีวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและคณะเทคนิคการแพทย์เพื่อจัดตั้งโรงเรียนรังสีเทคนิคขึ้น โดยจัดให้มีการเรียนการสอนที่คณะเทคนิคการแพทย์ ส่วนสถานที่ฝึกปฏิบัติงานให้ดำเนินการในภาควิชารังสีวิทยา จากนั้นจึงได้เสนอเรื่องไปทางมหาวิทยาลัย และสภาการศึกษาแห่งชาติ (ปัจจุบันคือคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ) ตามลำดับและได้รับอนุมัติให้ดำเนินการได้ ทางภาควิชารังสีวิทยาได้แต่งตั้งให้นายแพทย์สุพจน์ อ่างแก้ว เป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้ พร้อมกันนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลกในโครงการ Thailand project 71 โดยให้ทุนนายแพทย์สุพจน์ อ่างแก้ว ไปดูงานด้านการจัดตั้งโรงเรียนในประเทศอังกฤษ
พุทธศักราช 2508 ตั้งโรงเรียนรังสีเทคนิค
Mr Gordon W. Ward
ที่ปรึกษาจาก WHO
|
โรงเรียนรังสีเทคนิค เริ่มจัดตั้งขึ้นในเดือนมกราคม โดยขึ้นกับสำนักงานเลขานุการคณะเทคนิคการแพทย์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นโรงเรียนรังสีเทคนิคแห่งแรกในประเทศไทย ในการดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนองค์การอนามัยโลกได้ส่ง Mr Gordon W. Ward ผู้เชี่ยวชาญทาง
radiography มาเป็นที่ปรึกษา พร้อมทั้งส่งอุปกรณ์ในการสอนมาให้จำนวนหนึ่ง นักเรียนรุ่นแรกๆ มาจากนักศึกษาเทคนิคการแพทย์ซึ่งเรียนจบชั้นปีที่
2 จากคณะวิทยาศาสตร์
และสมัครใจมาเรียนต่อชั้นปีที่ 3 และปีที่
4 ในสาขารังสีเทคนิค สถานที่เรียนในตอนนั้นกระจัดกระจายอยู่ตามตึกต่างๆ
ภายในโรงพยาบาลศิริราชยังไม่มีสถานที่เรียนถาวรเช่นปัจจุบัน โดยมีอาจารย์ประจำก็คือ อาจารย์นายแพทย์สุพจน์ อ่างแก้ว และอาจารย์มาลี แปลกลำยอง ส่วนอาจารย์พิเศษก็ได้คณาจารย์จากภาควิชารังสีวิทยา
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาช่วยสอนหลายท่านด้วยกัน โดยหลักสูตรที่ใช้สอนนั้นเป็นหลักสูตรซึ่งได้ดัดแปลงมาจากหลักสูตรของประเทศอังกฤษ
พุทธศักราช 2510 บัณฑิตรังสีเทคนิค รุ่นที่ 1
บัณฑิตรังสีเทคนิคมหิดล รุ่นที่ 1 จำนวน 11 คน นับเป็นบัณฑิตรังสีเทคนิครุ่นแรกของไทย |
โรงเรียนรังสีเทคนิคสามารถผลิตบัณฑิตปริญญาตรีรังสีเทคนิครุ่นแรกได้จำนวน 11 คน และอนุปริญญารังสีเทคนิคอีก
2 คน(เนื่องจากในขณะนั้นผู้ที่สอบได้คะแนนในแต่ละวิชาไม่ถึง
70% ในชั้นปีที่ 3 จะไม่มีสิทธิ์เรียนต่อชั้นปีที่
4 ต้องไปทำงานอีก 1 ปีจึงมาเรียนต่อได้หรือมิฉะนั้นก็ได้รับอนุปริญญา) ชื่อปริญญาที่ได้รับคือ “วิทยาศาสตรบัณฑิตเทคนิคการแพทย์ (รังสีเทคนิค)”
ชื่อย่อคือ “วท.บ.เทคนิคการแพทย์ (รังสีเทคนิค)” ชื่อภาษาอังกฤษใช้
“Bachelor of Science in Radiological Technology” ตัวย่อ “B.Sc.
(Radiological Technology)” ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ.
2525 ได้เปลี่ยนเป็น
“วิทยาศาสตร์บัณฑิต (รังสีเทคนิค)” ตัวย่อ “วท.บ.(รังสีเทคนิค)” และภาษาอังกฤษใช้ว่า “Bachelor
of Science (Radiological Technology)” ตัวย่อ “B.Sc. (Radiol. Tech.)” เพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น อีกทั้งในปี พ.ศ. 2510 นี้
เป็นปีแรกที่สาขาวิชารังสีเทคนิค ได้รับการบรรจุเป็นอีกสาขาหนึ่งที่ผู้จะสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย
สามารถเลือกสอบเข้าได้เลย โดยไม่ต้องผ่านการสอบเข้าสาขาเทคนิคการแพทย์และเลือกเรียนสาขาวิชารังสีเทคนิคในชั้นปีที่
3 อย่างแต่ก่อน
พุทธศักราช 2513
ทางคณะเทคนิคการแพทย์ยกเลิกหลักสูตรอนุปริญญาทั้งหมด
คงมีแต่ปริญญาตรีเท่านั้น และในปีนี้เอง โรงเรียนรังสีเทคนิคได้รับความเอื้อเฟื้อจากภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ให้ใช้สถานที่ของตึก
72 ปี ชั้น 6 บางส่วนเป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนคือ
มีห้องเรียน ห้องทำงานของอาจารย์และฝ่ายธุรการ ทำให้ดูเป็นสัดเป็นส่วนขึ้น
พุทธศักราช 2514 รังสีเทคนิค 2 ปี
โรงเรียนรังสีเทคนิคเปิดหลักสูตรพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ (รังสีเทคนิค) ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อปี พ.ศ. 2511 สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ (ปัจจุบันคือ คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม) ได้ปรึกษาและเห็นว่าคณะเทคนิคการแพทย์มีความสามารถพอที่จะอบรมพนักงานวิทยาศาสตร์จัตวาเพิ่มขึ้นได้อีกระดับหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณของชาติ และเพื่อสนองความต้องการของรัฐที่ต้องการให้โรงพยาบาลส่วนภูมิภาคทุกแห่งมีพนักงานวิทยาศาสตร์ทั้งในห้องปฏิบัติการชันสูตรและห้องเอกซเรย์ของโรงพยาบาล ดังนั้นโรงเรียนรังสีเทคนิคก็เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้ด้วย ผู้ที่เข้ารับการศึกษาตามหลักสูตรนี้ ส่วนหนึ่งได้รับการคัดเลือกโดยกรมการแพทย์จากผู้สำเร็จชั้น
ม.ศ. 5 (ม.6 ปัจจุบัน) ของโรงพยาบาลที่ขาดแคลนพนักงานวิทยาศาสตร์ ซึ่งเมื่อสำเร็จแล้วต้องกลับไปปฏิบัติราชการตามสัญญาที่ได้ทำผูกพันไว้กับเจ้าสังกัดเดิม อีกส่วนหนึ่งรับคัดเลือกจากบุคคลภายนอกเพื่อผลิตให้แก่โรงพยาบาลในกรุงเทพมหานครและบริเวณใกล้เคียง และก็เช่นเดียวกันนักศึกษาประเภทนี้เมื่อสำเร็จแล้วต้องเข้ารับราชการตามความต้องการของมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 เท่าของระยะเวลาการศึกษา หลักสูตรนี้ใช้เวลาในการศึกษา 2 ปี จำนวนนักศึกษาที่รับปีละ
20 คน อย่างไรก็ตามโรงเรียนรังสีเทคนิคผลิตพนักงานวิทยาศาสตร์การแพทย์ (รังสีเทคนิค) ได้เพียง 3 รุ่น คือ
ระหว่างปีพ.ศ. 2516-2518 ก็ล้มเลิกโครงการ รวมพนักงานวิทยาศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งหมด
46 คน
พุทธสักราช 2519 ไฟไหม้ตึก
เป็นปีที่ตึกคณะเทคนิคการแพทย์ประสบอัคคีภัยเสียหายเกือบทั้งหลังประจวบกับสถานที่ตั้งของโรงเรียนรังสีเทคนิคที่ตึก
72 ปี ชั้น 6 จะมีการขยับขยายเป็นหอพักผู้ป่วยทางรังสีรักษา โรงเรียนฯ จึงได้ย้ายมารวมอยู่กับห้องปฏิบัติการกลางของภาควิชาเคมีคลินิค คณะเทคนิคฯ ที่ตึกตรวจผู้ป่วยนอกเก่า ชั้น
3 ของโรงพยาบาลศิริราช
พุทธศักราช 2520 เครื่องเอกซเรย์เครื่องแรก
โรงเรียนรังสีเทคนิคได้รับงบประมาณจัดซื้อครุภัณฑ์ที่สำคัญมากรายการหนึ่งคือ
เครื่องเอกซเรย์วินิจฉัย 1 เครื่อง เป็นจำนวนเงิน 600,000 บาท นับเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพในด้านการเรียนการสอน
รวมถึงการขยายขีดความสามารถในด้านการวิจัยของอาจารย์และงานด้านบริการของโรงเรียนให้เพิ่มมากกว่าแต่เดิมหลายเท่า
พุทธศักราช 2522
จากโรงเรียนเป็นภาควิชา
นายแพทย์สุพจน์ อ่างแก้ว
หัวหน้าภาควิชาท่านแรก |
ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเสริฐ ทองเจริญ คณบดีคณะเทคนิคการแพทย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งต่อจากศาสตราจารย์นายแพทย์วีกูล วีรานุวัตติ์ ได้ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการของคณะเทคนิคการแพทย์ใหม่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับโรงเรียนรังสีเทคนิคคือ ได้แยกโรงเรียนรังสีเทคนิคออกจากสำนักงานเลขานุการ
และจัดตั้งขึ้นเป็นภาควิชารังสีเทคนิค (ราชกิจจานุเบกษา พิเศษ หน้า ๔ เล่ม ๙๖ ตอนที่ ๑๔๑ วันที่
๑๕ สิงหาคม ๒๕๒๒)
หัวหน้าภาควิชารังสีเทคนิคท่านแรก หลังจากโรงเรียนรังสีเทคนิคเปลี่ยนมาเป็นภาควิชารังสีเทคนิค
ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์สุพจน์ อ่างแก้ว ซึ่งเดิมดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนรังสีเทคนิค
ก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าภาควิชารังสีเทคนิคตั้งแต่นั้นมา จนท่านเกษียณอายุราชการในปี
พ.ศ. 2531
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น