เรื่องราวของเอกซเรย์ มีความน่าอภิรมย์อยู่มาก มีหลายแง่มุม หลายมิติ หลายแนวคิด สุดแต่ใครจะมองกันอย่างไร ผมได้เคยเล่าให้ฟังแล้วถึงเรื่อง “ขันติเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์” เป็นมุมมองหนึ่งที่สะท้อนถึงความทนทานของเป้าในหลอดเอกซเรย์กับความอดทนอดกลั้นของมนุษย์
สำหรับคราวนี้
ขอมองในอีกมิติหนึ่ง ในมิติที่เรียกว่า “เกิด-ดับ” ซึ่งมีความน่าอภิรมย์อยู่ในตัว
ขอเริ่มด้วยคำถามที่ว่า "เอกซเรย์เกิดได้อย่างไร??" ซึ่งเป็นคำถามที่คนส่วนใหญ่อาจไม่ทราบคำตอบ
พูดถึงการผลิตเอกซเรย์เพื่อใช้งานทางการแพทย์ มีแง่มุมดีๆให้ได้คิดซ่อนเร้นอยู่อีก
พูดถึงการผลิตเอกซเรย์เพื่อใช้งานทางการแพทย์ มีแง่มุมดีๆให้ได้คิดซ่อนเร้นอยู่อีก
สำหรับนักรังสีเทคนิคจะทราบคำตอบเรื่องการผลิตเอกซเรย์ดีมากอยู่แล้ว
สำหรับท่านที่ไม่มีพื้นฐานทางนี้ ผมขอเล่าให้ฟัง เริ่มจากพื้นฐานของเรื่องนี้เลยครับ
การผลิตเอกซเรย์ เราใช้หลอดเอกซเรย์ซึ่งมีโครงสร้างสำคัญประกอบด้วย
หลอดแก้วสุญญากาศ ไส้หลอด (filament) และเป้า เป็นโครงสร้างที่ได้รับการพัฒนาขึ้นนานมาแล้ว
เมื่อ ค.ศ.1913 โดย W.D. Coolidge จึงเรียก
Coolidge tube ปัจจุบันก็ยังใช้หลักการนี้
ไม่ว่าจะเป็นหลอดเอกซเรย์ที่ใช้งานถ่ายภาพทั้งร่างกาย ถ่ายภาพเต้านม หรือซีที
(เอกซเรย์คอมพิวเตอร์)แต่การออกแบบอาจแตกต่างกันไปตามชนิดของการใช้งาน
โครงสร้างของหลอดเอกซเรย์ |
หากเราแหวกผนังแก้วของหลอดเอกซเรย์เข้าไป มองลึกเข้าไปภายในหลอดเอกซเรย์
มองให้เห็นกระบวนการ กลไก ของการผลิตเอกซเรย์
เราจะเริ่มเห็นไส้หลอดซึ่งมักทำด้วยทังสะเต็น
ลักษณะเป็นขดลวดบิดเป็นเกลียวเล็กๆ ถูกเผาด้วยกระแสไฟฟ้าจนร้อนแดง สุกสว่างไสว
ดุจหลอดไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างในยามค่ำคืน ขณะนั้น ไส้หลอดจะปลดปล่อยอิเล็กตรอนหลุดออกมาจำนวนมาก
ในทางเทคนิคเรียกกระบวนการนี้ว่า thermionic emission หรือ
Edison effect เป็นการสื่อความหมายว่า
อิเล็กตรอนหลุดจากไส้หลอดด้วยความร้อน
เวลาเดียวกันนั้น
แอโนดซึ่งทำเป็นจานโลหะจะถูกทำให้หมุนด้วยความเร็วสูงมาก เหมือนมอเตอร์ความเร็วสูง
รอรับการพุ่งชนโดยอิเล็กตรอนที่จะวิ่งมาจากไส้หลอด
ครั้นเมื่อเราใส่ความต่างศักย์ไฟฟ้าสูงๆ
ระหว่างไส้หลอด (แคโทดขั้วลบ) และเป้า (แอโนดขั้วบวก) ความต่างศักย์ไฟฟ้าจะบีบบังคับกดดันให้อิเล็กตรอนต้องวิ่งจากไส้หลอดขั้วลบ ไปตามแนวเส้นแรงไฟฟ้า พุ่งเข้าชนเป้าหรือจานแอโนดขั้วบวกที่กำลังหมุนเร็วจี๋
และชนด้วยพลังงานจลน์สูงมาก
ขณะที่เกิดการชนกันพลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนประมาณ
1% จะถูกเปลี่ยนไปเป็นประกายรังสีที่ตามองไม่เห็นเรียกว่า
“เอกซเรย์” ในฉับพลัน เป็นประกายรังสีที่เรานำมาใช้งานส่องชีวิตของผู้ป่วย พลังงานจลน์ของอิเล็กตรอนส่วนใหญ่อีก 99%
จะเปลี่ยนเป็นความร้อนที่เป้า
หากเราจะดูให้ลึกลงไปอีกว่า
อิเล็กตรอนชนกับเป้าหรือจานแอโนดแล้วเกิดเอกซเรย์ได้อย่างไร
เราจำเป็นต้องมองในระดับเล็กมากเป็นนาโนหรือระดับอะตอม ซึ่งเราจะเห็นอิเล็กตรอนวิ่งเข้าไปชนอะตอมของเป้า แยกการชนเป็น 2 แบบใหญ่ๆ ซึ่งทำให้ได้เอกซเรย์แบบ Characteristic
x-rays และ Bremsstrahlung ผมขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดในส่วนนี้
แต่ผมมีวิดีโอคลิปที่แสดงการเกิดเอกซเรย์ทั้งสองแบบให้ชมกัน ให้พอจินตนาการได้บ้าง
เคล็ดลับประการหนึ่งคือ ความเข้มของเอกซเรย์ที่เกิดขึ้น
จะสอดคล้องสัมพันธ์กับรูปคลื่นความต่างศักย์ไฟฟ้า (kV) ที่จ่ายให้หลอดเอกซเรย์
ถอยกลับออกมามองในภาพใหญ่
โดยทั่วไป ความต่างศักย์ไฟฟ้าที่จ่ายให้หลอดเอกซเรย์มีลักษณะเป็นเหมือนระลอกคลื่น สูงต่ำสลับกัน จำนวน 100 ระลอกคลื่นในหนึ่งวินาที เมื่อหลอดเอกซเรย์ได้รับระลอกคลื่นความต่างศักย์ไฟฟ้าสูงจะได้เอกซเรย์เรียกว่า “เกิด”
มีความสว่างไสวที่เห็นได้ด้วยจิตเพราะตามองไม่เห็น เมื่อระลอกคลื่นความต่างศักย์ไฟฟ้าลดลงต่ำ
เอกซเรย์ก็ไม่เกิดเรียกว่า “ดับ”
แปลว่า
จะมีการ “เกิด-ดับ” ของเอกซเรย์สลับกันไป 100 ครั้งในหนึ่งวินาที หรือกระพริบ 100 ครั้งในหนึ่งวินาที เป็นจังหว่ะแน่นอน คล้ายกับเวลาที่เราดูแสงกระพริบจากดาวฤกษ์ในเวลาค่ำคืน เราจะเห็นประกายแสงระยิบระยับเปล่งออกมา มองแล้วน่าอภิรมย์ยิ่ง แต่จังหว่ะการเปล่งประกายออกมานั้นอาจไม่คงตัว ความถี่ของการเกิด-ดับของเอกซเรย์สูงเพียงนี้ ทำให้สัมผัสได้ราวกับว่ามีเอกซเรย์เกิดหรือออกมาจากหลอดเอกซเรย์ตลอดเวลาแล้ว ไม่รู้สึกว่ามันกระพริบ
ถึงตรงนี้ ผมคิดว่า เอกซเรย์ได้สอนเราอย่างหนึ่งครับ
การเกิด-ดับของเอกซเรย์ ใช้ไฟฟ้ากระแสตรงกรองไฟแบบเต็มลูกคลื่น |
ทุกครั้งที่ถ่ายภาพรังสีผู้ป่วย
จะมีการ “เกิด-ดับ” หรือกระพริบของเอกซเรย์ ซึ่งเรารู้สึกได้เหมือน “เกิด”
ตลอดเวลา
เอกซเรย์กำลังเตือนสติเราว่า
“สติ” ก็มีลักษณะ “เกิด-ดับ”
ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสัมมาสติ หรือมิจฉาสติ คือมีการกระพริบของสติเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ขอให้เป็นการกระพริบของสัมมาสติย่อมดีกว่า
ประเดี๋ยวเราก็มีสติ “เกิด”
ประเดี๋ยวเราก็ขาดสติ “ดับ”
สลับกันไป สติมันกระพริบ
ถ้าใครที่มีการ “เกิด-ดับ”
ของสติสลับกันด้วยความถี่สูง กระพริบเร็วมาก ถ้าเป็นสัมมาสติผมว่าโอเคแล้วนะ
เพราะเป็นลักษณะการกระพริบของสติที่เสมือนว่ามีสติเกิดขึ้นตลอดเวลา เหมือนเอกซเรย์
ไฟกระพริบเหมือนเกิด-ดับของสติ |
สัมมาสติเกิดนานหน่อย ดับประเดี๋ยวเดียว ยิ่งดีใหญ่ อันนี้ขั้นสูงมาก
สัมมาสติไม่ดับเลย เกิดตลอดเวลาดีมากเลย
แต่ยากมากเช่นกัน อันนี้เรียกว่า “ที่สุดแห่งการดับสัมมาสติ” ได้ไหม คือเกิดสติตลอดเวลาไม่กระพริบด้วย
สติของเรา-ท่าน มีเกิด-มีดับ ตลอดเวลาไหม? |
คิดให้ดี การดับของสัมมาสติแม้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ น่าสะพรึงกลัวหรือไม่ หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์มาบ้างกับคนอื่นหรือแม้แต่กับตัวเอง ก็จะเข้าใจพิษสงของการดับของสัมมาสติได้ดี
แล้วถ้าหากสัมมาสติของเราอยู่ในโหมดที่ “ดับ” ตลอดเวลาล่ะ หรือเข้าสู่โหมด “ที่สุดแห่งการเกิดสัมมาสติ” คือดับสนิทอย่างยั่งยืน อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา และคนรอบข้างของเราครับ
ในภาวะที่ต้องเผชิญหน้ากัน ยิ่งถ้าเราเป็นผู้มีความฉลาดในทางโลกมากๆ เมื่อขาดสัมมาสติคือดับ และมีมิจฉาสติเข้าแทนที่ เราจะจมดิ่งอยู่ในทะเลแห่งอารมย์ร้าย ก็จะยิ่งน่ากลัวเป็นร้อยเท่าพันทวี เราจะมีความแน่ "กูแน่" และไม่ฟังใคร เราจะสามารถบันดาลให้เกิดสิ่งเลวร้ายได้มากมาย....
ชนิดที่ไม่กล้าคิดเลยครับ...แล้วถ้าหากสัมมาสติของเราอยู่ในโหมดที่ “ดับ” ตลอดเวลาล่ะ หรือเข้าสู่โหมด “ที่สุดแห่งการเกิดสัมมาสติ” คือดับสนิทอย่างยั่งยืน อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา และคนรอบข้างของเราครับ
ในภาวะที่ต้องเผชิญหน้ากัน ยิ่งถ้าเราเป็นผู้มีความฉลาดในทางโลกมากๆ เมื่อขาดสัมมาสติคือดับ และมีมิจฉาสติเข้าแทนที่ เราจะจมดิ่งอยู่ในทะเลแห่งอารมย์ร้าย ก็จะยิ่งน่ากลัวเป็นร้อยเท่าพันทวี
สัมมาสติกลับมาเถิด เจ้าจงกลับมา ว็อบๆแว็มๆก็ยังดี
นี่แหละครับที่ว่า เอกซเรย์มีเรื่องน่าอภิรมย์ เอกซเรย์กับสติมันคล้ายกันมากอย่างเหลือเชื่อ จริงไหมครับ ต่างกันตรงที่ การเกิด-ดับของเอกซเรย์ควบคุมได้ง่ายด้วยมือหรือเท้าของนักรังสีเทคนิค แต่การควบคุมให้เกิดสัมมาสติทำได้ยากกว่า
นี่แหละครับที่ว่า เอกซเรย์มีเรื่องน่าอภิรมย์ เอกซเรย์กับสติมันคล้ายกันมากอย่างเหลือเชื่อ จริงไหมครับ ต่างกันตรงที่ การเกิด-ดับของเอกซเรย์ควบคุมได้ง่ายด้วยมือหรือเท้าของนักรังสีเทคนิค แต่การควบคุมให้เกิดสัมมาสติทำได้ยากกว่า
Related Links:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น