คราวนี้ขอเริ่มด้วยการแนะนำให้รู้จักกับ ThaiPOD แบบพอรู้จักเล็กๆน้อยๆครับ เพราะผมได้มีโอกาสไปประชุม National Conference ครั้งที่ 6 เรื่อง “การศึกษามุ่งผลลัพธ์: ก้าวสู่บัณฑิตคุถณภาพในศตวรรษที่ 21 (Progressing towards the 21 Century Quality Graduates) ระหว่างวันที่ 28-29 กรกฎาคม 2554 ที่โรงแรมดิอิมพีเรียล ควีนปาร์ค สุขุมวิท กรุงเทพฯ
ThaiPOD ย่อมาจาก The Association of Thailand Professional and Organizational Development หมายถึง สมาคมเครือข่ายพัฒนาวิชาชีพอาจารย์และองค์กรระดับอุดมศึกษาแห่งประเทศไทย (ควอท.) หากต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ThaiPOD มีความเป็นมาอย่างไร สามารถอ่านเพิ่มเติมได้โดย click>>>
พบเพื่อนเก่า
วันแรกของการประชุม พบเพื่อนพี่น้องสมัยเรียนที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยด้วยกันหลายคน พูดคุยกันสนุกสนานมาก ที่พิเศษหน่อยคือ รศ.กัลณกา สาธิตธาดา ซึ่งเป็นรุ่นพี่ แรกๆท่านเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า บางมด ปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเป็นคณะกรรมการบริหารThaiPOD ด้วย ก็เลยทำให้เห็นภาพของ ThaiPOD ชัดเจนขึ้น
นิยามมหาวิทยาลัยที่เรารู้จัก
เรามักจะเข้าใจว่า มหาวิทยาลัย คือสถานศึกษาที่นักศึกษาเข้ามาเรียนเพื่อให้ได้ปริญญาในระดับสูง ขณะเดียวกันก็มีอาจารย์ที่นอกจากจะทำหน้าที่สอนแล้ว ยังต้องทำวิจัยด้วย
นิยามมหาวิทยาลัยที่เราไม่รู้จัก
ในภาวะโลกไร้พรมแดน และความเจริญของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ถ้านักศึกษาและอาจารย์สามารถร่วมกันสร้างความรู้ขึ้นใหม่ๆขึ้นมาได้มาก มหาวิทยาลัยจะเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการพัฒนาคนและความรู้ นิยาม/ความคิดนี้จะส่งผลให้มหาวิทยาลัยเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ทั้งเรื่องวัฒนธรรมการเรียนรู้ และกระบวนการในการเรียนรู้ ที่ไม่ใช่มีแต่ Lecture-based learning แต่จะเป็นการผสมผสานวิธีการต่างๆเข้าด้วยกัน ตามความเหมาะสม ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เช่น Problem-based learning, Project-based learning, Service learning ฯลฯ
การศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง (Civic Education) โดยบทบาทของอาจารย์ต้องสอนให้นักศึกษาเป็นกำลังของเมือง (พลเมือง = พละ+เมือง) ไม่ใช่สอนให้เป็นภาระของเมือง (ภาระเมือง) (ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บรรยายเรื่อง อุดมศึกษากับการพัฒนาความเป็นพลเมือง)
สอนให้นักศึกษาเข้าใจปัญหา มองเห็นถึงต้นเหตุของปัญหา ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่เกิดที่คน ต้องแก้ที่คน หากมองในภาพใหญ่ ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์วุ่นวายรุนแรงทางการเมืองมา 4 ครั้งแล้ว ตั้งแต่ ตุลาคม 2516, ตุลาคม 2519, พฤษภาคม 2535, เมษา-พฤษภา 2553 และจะเกิดครั้งที่ 5 ขึ้นอีก เพราะคนไม่รู้ว่าปัญหาทั้งหลายนั้นอยู่ที่คน ทำให้เกิดคำถามว่า ประชาธิปไตยไม่เหมาะกับประเทศไทยใช่หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ มีตัวอย่างเยอะมากในต่างประเทศ ในช่วงกว่า 200 ปีที่ผ่านมา ที่ประเทศประชาธิปไตยเกิดเหตุวุ่วายฆ่ากันตายเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ปัจจุบันประเทศเหล่านั้นเจริญรุ่งเรือง
มีความเห็นของนักศึกษาที่มองคนไทยว่ามีลักษณะเด่นอะไรบ้าง สิ่งหนึ่งที่สะท้อนได้เจ็บๆ คันๆ คือ นักศึกษาเห็นว่า คนไทยนั้น
สิทธิ >>>>> ชอบทวง
หน้าที่ >>>>> ไม่ชอบทำ
เสรีภาพ >>>>> ชอบใช้
ประชาธิปไตยอำนาจเป็นของปวงชนชาวไทย ต้องสอนให้นักศึกษาเข้าใจถึงความเสมอภาค เคารพความเห็นที่แตกต่าง นักศึกษาจะมีระบบ Seniority นักศึกษาปี 4 คุมปี 3,2,1 นักศึกษาปี 3 คุมปี 2,1 และนักศึกษปี 2 คุมปี 1 เป็นลำดับลงมาตามแนวดิ่ง เมื่อนักศึกษาปี 1 ขยับขึ้นปี 2 ก็ทำตามแบบที่รุ่นพี่ปูทางเอาไว้ (อ่านลิงเหมือนคน) ดังนั้นในช่วงเปิดเทอมภาคต้นทุกปีระหว่างเดือนมิถุนายน-ต้นกรกฎาคม จะเป็นช่วงของ “รับน้อง หรือมหกรรมการทำลายความเสมอภาค” ซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตยและความเป็นพลเมืองที่ดี คำถามคืออาจารย์พร้อมไหม
มีสถิติผู้หญิงไทยที่ถูกข่มขืนนั้น ประมาณ 40% เกิดจากแฟนของตัวเอง และมีจำนวนมากที่ท้องก่อนวัยอันควร และทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับ สื่อ-สิ่งพิมพ์ลามก ละครโทรทัศน์ประเภทตบจูบหรือน้ำเน่า ที่แพร่ภาพในช่วงเวลาดีๆที่มีคนดูกันทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะดูแล้วซึมซับพฤติกรรมของตัวละคร แล้วก็นำไปใช้ในชีวิตจริงกันโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ เรื่องนี้ อยู่ที่คน อยู่ที่เรา ผู้สร้างละครก็ทำละครตามผลสำรวจความนิยม คนที่ให้ความเห็นว่าชอบดูประเภทตบจูบคือเรา แสดงว่าเราคือผู้สร้างปัญหา ถ้าไม่แก้ที่เราแล้วจะแก้ที่ใคร ถ้าเราไม่อยากดูผู้สร้างก็ไม่สร้างเพราะโฆษณาไม่สนับสนุนเลย นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการเป็นพลเมืองที่ดีจะต้องเป็นอย่างไร
ทิ้งท้ายด้วยข้อความที่น่าคิดว่า
เปลี่ยนที่ตน >>>> มหาวิทยาลัยจะเปลี่ยน >>>> ประเทศจะเปลี่ยน
มุมมองของต่างชาติ
ศาสตราจารย์ Gerald W. Fry จากมหาวิทยาลัย Minnessota อเมริกา บรรยายเรื่อง “Reform Education: Reform Your Country” ได้กล่าวถึง วิกฤติของการศึกษาระดับอุดมศึกษาของไทยไว้ได้อย่างแซบทรวง เป็นมุมมองที่ท่านบอกว่ามันไม่ควรใช้คำว่า reform ควรใช้ revolution จะดีกว่า ต้องให้เหมือน tsunami ที่เกิดที่ญี่ปุ่น มีประเด็นเด่นๆที่ท่านพูดแบบเน้นๆ เยอะมาก และเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้บริหาร อาจารย์ ต้องหยุดคิด ขอยกตัวอย่างบางประเด็นเด็ด ดังนี้คือ อุดมศึกษาของไทยนั้น
Escalating costs ใช้จ่ายสูงไปกับสิ่งที่ได้กลับมาแบบไม่ค่อยคุ้มค่า
Esoteric research ผลงานวิจัยที่รู้กันในวงแคบๆ ซึ่งแทบจะไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อะไรได้อย่างจริงจัง เพียงแค่ให้ตัวเองได้ตำแหน่งทางวิชาการหรือเลื่อนตำแหน่งเท่านั้น
Emphasis on quantity คุณภาพไม่ค่อยเน้น ไปเน้นที่จำนวนเอาให้มากเข้าไว้
เจ็บจี๊ดครับ
Related Links:
2.ThaiPOD The Association of Thailand Professional and Organizational Development
3.การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง