บันทึกนี้ เป็นเรื่องราวลำดับเวลาที่สำคัญของวิชาชีพรังสีเทคนิค บันทึกไว้เพื่อเป็นข้อมูลให้สืบค้นได้ หากอยู่แค่ในความทรงจำ ก็จะรอวันที่สิ่งเหล่านี้ค่อยๆเลือนลางหายไป
พ.ศ. 2510 บัณฑิตรังสีเทคนิครุ่นแรกของประเทศไทยจำนวน 11 คน มาจากโรงเรียนรังสีเทคนิค (ปัจจุบันคือภาควิชารังสีเทคนิค) มหาวิทยาลัยมหิดล
10 พฤษภาคม 2542 ประกาศใช้พระราชบัญญัติการประกอบโรศิลปะ
23 กรกฎาคม 2545 ประกาศใช้กฤษฎีกากำหนดให้รังสีเทคนิคเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ (ปัจจุบันกฤษฎีกานี้ได้ยกเลิกแล้ว แต่ได้ยกข้อความสำคัญไปไว้ในพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2556) จากนั้นจึงได้มีการดำเนินการให้นักรังสีเทคนิคมาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิค
27 พฤษภาคม 2547 นักรังสีเทคนิคจำนวน 56 คน สอบผ่านได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิค เป็นกลุ่มแรก คุณสมบัติของกลุ่มนี้คือ เป็นผู้มีประสบการณ์ทำงานด้านรังสีเทคนิคมากกว่า 25 ปี
10 สิงหาคม 2547 ประกาศใช้ระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพของผู้ประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิค (ปัจจุบันระเบียบนี้ถูกยกเลิกแล้ว และใช้จรรยาบรรณกลางแทน คือ ระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการรักษาจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพของผู้ประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2559)
12 ธันวาคม 2547 นักรังสีเทคนิคทั่วประเทศเข้าสอบเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิค จำนวน 1,256 คน สนามสอบจัดขึ้นที่ ห้องประชุมชั้นที่ 12 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลราชวิถี กรุงเทพ
น่าจะกล่าวได้ว่า
เป็นการรวมตัวของนักรังสีเทคนิคมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
การสอบครั้งนี้ใช้เวลาวันเดียว ภาคเช้าและบ่าย
ภาคเช้าเป็นการสอบวัดความรู้พื้นฐานในวิชาชีพรังสีเทคนิคใช้เวลาสอบ 3 ชั่วโมง
ส่วนภาคบ่ายเป็นการสอบวัดความรู้ทางด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องใช้เวลาสอบ 1.5 ชั่วโมง
นักรังสีเทคนิคที่เข้าสอบครั้งนี้ต่างแสดงความยินดี
ที่กำลังจะมีใบประกอบโรคศิลปะฯหลังจากที่รอคอยมานาน และต่างรู้สึกภาคภูมิใจ
ที่สังคมไทยให้การยอมรับวิชาชีพรังสีเทคนิค
หลายคนบอกว่ารักวิชาชีพนี้ขึ้นอีกมากและจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้สมกับที่สังคมให้ความไว้วางใจ
ผู้เข้าสอบหลายคนเตรียมความพร้อมมาอย่างดี
เนื่องจากก่อนหน้าจะถึงวันสอบได้มีการจัดอบรมฟื้นฟูความรู้เกี่ยวกับรังสีเทคนิค
ซึ่งจัดโดยหลายองค์กร หลายคณะ และครั้งสุดท้ายก่อนวันสอบหนึ่งวัน
กองการประกอบโรคศิลปะก็ได้จัดให้มีการอบรมเพื่อฟื้นฟูความรู้ของผู้ที่จะเข้าสอบอีกด้วย
สำหรับจำนวนผู้เข้าสอบมาจากโรงพยาบาลตามอำเภอและจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
มีผู้เข้าสอบที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหิดลจำนวน 50% มหาวิทยาลัยรามคำแหง
27% มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 15% มหาววิทยาลัยนเรศวร 5% และมหาวิทยาลัยขอนแก่น 3%
ทั้งหมดรวม 1,256 คน
ชาวรังสีเทคนิคที่เข้าสอบทั้งสิ้น 1256 คนในคราวนั้น ต่างแสดงความยินดีกันทั่วหน้า
หลังรอลุ้นว่าผลการสอบจะออกมาอย่างไร เมื่อคณะกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิค
(ก.ช.) ได้ประกาศผลการสอบอย่างเป็นทางการแล้ว
ทั้งทางเว้ปไซต์ของสมาคมรังสีเทคนิคแห่งประเทศไทย เว้ปไซต์ของกองการประกอบโรคศิลปะ
และหนังสือแจ้งผลการสอบไปยังผู้เข้าสอบทุกคน
โดยในเว้ปไซต์นั้นสามารถเข้าดูผลการสอบได้ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม 2548
ในคราวนั้นซึ่งเป็นครั้งแรกของการสอบในประวัติศาสตร์ของรังสีเทคนิค มีผู้ที่สามารถทำคะแนนได้ตามเกณฑ์ที่ ก.ช. กำหนดคือ ได้คะแนนสอบตั้งแต่ 60%
ขึ้นไปทั้งสองวิชาจำนวน 1072 คน (85%) และมีผู้สอบไม่ถึงเกณฑ์ที่ ก.ช. กำหนดจำนวน 184
คนหรือประมาณ 15% ของจำนวนผู้เข้าสอบทั้งหมด เป็นที่น่าสังเกตว่า
ในจำนวนผู้ที่สอบไม่ถึงตามเกณฑ์ที่ ก.ช. กำหนดนั้น
ส่วนใหญ่จะสอบไม่ผ่านวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพ
5
สิงหาคม 2551 ประกาศคณะกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิคเรื่อง
สมรรถนะและมาตรฐานวิชาชีพสำหรับผู้ประกอบโรคศิลปะสาขารังสีเทคนิค ทำให้เกิดความชัดเจนในเรื่องมาตรฐานและสมรรถนะของนักรังสีเทคนิคไทย ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนรังสีเทคนิคของสถาบันต่างๆ นำไปสู่การที่คณะกรรมการต้องเข้าไปประเมินเพื่อรับรองสถาบันผู้ผลิตบัณฑิตสาขารังสีเทคนิค และเริ่มการประเมินรับรองสถาบันต่างๆในเดือนพฤศจิกายน 2553 ตามที่กฎหมายกำหนด
5
สิงหาคม 2551 ประกาศคณะกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิคเรื่อง
หลักเกณฑ์ และแบบประเมินเพื่อการรับรองสถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตปริญญาหรือประกาศนียบัตรเทียบเท่าปริญญาสาขารังสีเทคนิค
22 กรกฎาคม 2561
วันสอบขึ้นทะเบียนใบประกอบโรคศิลปะ สาขารังสีเทคนิค ประจำปี 2561 ล่าสุด จัดขึ้น ณ ห้องประชุม 1
และ 4 ชั้น9 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณะสุข มีผู้เข้าสอบ 237 คน
ปัจจุบัน ( พค. 2561) มีจำนวนนักรังสีเทคนิคที่มีใบ รส. ทั้งสิ้น 4,485 คน
ขอชาวเราจงเชื่อมั่นว่า...“การบริการด้านรังสีเทคนิคของไทย
เป็นบริการที่มีคุณภาพ น่าไว้วางใจในทุกมิติ ทุกขั้นตอน ทุกเวลา สำหรับทุกคน
ก็ด้วยการพัฒนาอย่างไม่ออมมือ เต็มศักยภาพที่มนุษย์สร้างสรรค์พึงทำได้”