เมื่อคราวไปประชุมวิชาการ
AACRT ครั้งที่ 19 ที่โรงแรมปางสวนแก้ว
เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 16-18 มกราคม 2556 นอกจากจะได้มีโอกาสเป็นผู้ดำเนินการอภิปรายเรื่อง
ความก้าวหน้าของสายงานรังสีการแพทย์ของไทย ร่วมอภิปรายกับนายแพทย์สุพรรณ
ศรีธรรมมา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผศ.ดร.บรรจง
เขื่อนแก้ว ประธานกรรมการวิชาชีพสาขารังสีเทคนิค และนายสละ
อุบลฉาย นายกสมาคมรังสีเทคนิคแห่งประเทศไทยแล้ว ยังได้มีโอกาสไหว้พระ 5 วัด ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร
วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร วัดพันเตา วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร และวัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร(ลำพูน)
|
มองจากห้องพักโรงแรมปางสวนแก้ว |
|
วัดพระสิงห์ฯ กับลูกศิษย์ภูฏานและเพื่อนต่างชาติที่มาประชุม |
การเดินทางไปกราบพระตามวัดต่างๆที่กล่าวมานั้น
ต้องขอขอบคุณผศ.ลัดดา เฉลยกิตติ ที่ให้รถอาจารย์อำไพ อุไรเวโรจนากร
มาใช้ระหว่างอยู่ที่เชียงใหม่ ผม
ภรรยาและลูกก็เลยได้อาศัยโดยสารไปด้วย
การขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพนั้น
เรานั่งรถเก๋งจากโรงแรม ไปจอดรถไว้ที่อาคารจอดรถของสวนสัตว์เชียงใหม่
และต่อรถแดงที่หน้าสวนสัตว์เชียงใหม่ซึ่งอยู่ที่ทางขึ้นดอยสุเทพ ระหว่างทางขึ้นเขา โดนรถเหวี่ยงไปมาตามแรงหนีศูนย์กลางเมื่อรถวิ่งเข้าทางโค้งซึ่งมีหลายโค้ง
บางโค้งก็ติดๆกัน เหวี่ยงไปมา เผลอนิดเดียวมึนเลย ระหว่างนั้น
จิตใจมันจดจ่ออยู่ที่พระธาตุดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ดอยปุย แทบจะไม่ได้มองความสวยงามระหว่างทางที่ขึ้นไปเลย
และลุ้นว่าตัวเองจะเมารถหรือไม่ เกือบเมาครับ แต่ก็รอดมาได้
นี่แหล่ะคือ ตัวอย่างของการขึ้นสู่เป้าหมายที่สูงๆ ซึ่งหากเทียบเคียงกับการทำงานโดยมุ่งแต่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ซะสูงมากๆ จึงมีโอกาสสูงที่จะพลาดการชื่นชมความงามระหว่างทาง พึงระวังให้มากๆครับ อาจสูญเสียมิตรภาพไปในระหว่างทางได้
เราเลยขึ้นไปแวะชมความงามของต้นไม้
ดอกไม้ที่ภูพิงคก่อน แล้วเดินทางต่อขึ้นไปบนดอยตุง ถนนช่วงนี้แคบมาก ลุ้นตลอดทาง เสร็จแล้วกลับลงมานมัสการพระธาตุดอยสุเทพ
ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
ยังคงความงามของดอกไม้และต้นไม้ที่ไม่จืดจาง น้ำส้มคั้นสดๆ
และดอกไม้งามทำให้รู้สึกสดชื่นและหายเหนื่อย
แวะชมหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้งบนดอยปุย
ชมดอกฝิ่น พิพิธภัณฑ์ ถ่ายรูปชุดม้ง แดดจัดมากแต่อากาศเย็นสบายกำลังดี เพลิดเพลินกับการถ่ายรูปในชุดม้ง
จนอาจารย์อำไพเผลอลืมหมวกทิ้งไว้ที่นั่นจนได้ เป็นหมวกที่ซื้อจากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ซะด้วย
พระธาตุดอยสุเทพ
พระธาตุสีทองคำระยิบระยับ ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ยังคงความงดงามและมนต์ขลัง
มีพลังงานบางอย่างที่ทำให้จิตใจของเราเยือกเย็นลงและสงบอย่างน่าประหลาดแท้ในทุกครั้งที่ได้ขึ้นไปนมัสการ
แม้ผู้คนจะมาก ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ระหว่างที่ชมพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
เห็นดอกไม้งดงามและต้นไม้น้อยใหญ่ เป็นเสมือนดินแดนในฝัน ทำให้นึกถึงคำสอนของอาจารย์นานมาแล้วว่า
ต้นไม้ยิ่งเสียดยอดสูงใหญ่
ยิ่งต้องมีรากที่หยั่งลึกลงไปในดินมากเพื่อความมั่นคง
เรามักจะเห็นต้นไม้ขึ้นอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
สามัคคีกัน ซึ่งทำให้มันสามารถต้านทานแรงลมพายุได้
ไม่เคยเห็นต้นไม้มันทำร้ายกันเอง หากบังเอิญมีต้นไม้พยายามสูงใหญ่ขึ้นอยู่ต้นเดียวโด่เด่
ต้นไม้ต้นนั้นเมื่อโดนลมพายุพัดก็จะหักโค่นได้ง่าย
ต้นไม้
รักษาดินให้ความร่มเย็นแก่โลก ดูดน้ำผ่านรากลำต้นถึงกิ่งใบ สังเคราะห์แสง
ให้ออกซิเจนและอาหารแก่โลก มนุษย์เราได้ใช้ประโยชน์จากต้นไม้มากมายเหลือคณานับ
กระดาษทำจากตันไม้ มีคำกล่าวว่า มองผ่านกระดาษแผ่นเดียวสามารถมองเห็นจักรวาลได้
จริงหรือไม่ ลองคิดดูครับว่ากว่าจะได้กระดาษมาซักแผ่นเดียวต้องมีกระบวนการอะไรบ้าง
ไม่น่าเชื่อว่า ทั้งจักรวาลเชื่อมโยงมาที่กระดาษแผ่นเดียวได้
ต้นไม้ทำหน้าที่หลายอย่างเหลือเกิน
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ
ต้นไม้ทำหน้าที่ของมันโดยไม่มีใครสั่ง ไม่เคยเรียกร้องขอรางวัลคุณความดีจากใคร
ไม่เคยอวดอ้างว่าฉันดีฉันเด่นนะ
เหล่านี้
ชาวเราคงเห็นด้วยถ้าจะกล่าวว่า มองให้เป็นเห็นต้นไม้เป็นครูของเรา
ต้นไม้บอกเราว่า ให้เราทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องชอบธรรมโดยไม่ต้องให้ใครมาสั่ง
เราไม่อวดอ้างว่าเราดี เราอยู่และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดี เรามีรากฐาน
จิตใจดี ความคิดดี ทำดี วิชาการดี ซึ่งทำให้เราเติบโตสูงใหญ่ขึ้นอย่างมั่นคง ฯลฯ
ต้นไม้สอนเราอย่างนี้
มีชาวเราบางคนถึงหลายคนบ่นให้ฟังว่า
“หน้าที่ของเราคือทำงาน routine เบื่อจัง
เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำมืด ดึกดื่น เหมือนเดิม เซ็งง่ะอาจารย์ ทำไงดี”
ก็เลยอธิบายไปว่า
ที่เรารอดอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะเราทำหน้าที่ที่เรียกว่างาน
routine มิใช่รึ
ดูอย่างการหายใจของเราก็เป็นงาน routine เราหายใจ เข้า-ออก
เป็น routine ตลอดเวลาแม้ยามนอนหลับ ลองไม่หายใจดูซิ
อะไรจะเกิดขึ้น
หรือแค่เปลี่ยนจังหวะการหายใจก็ได้
ไม่ต้องหายใจแบบ routine หรอก ลองทำดูครับ
หายใจเข้าอย่างเดียว
หรือหายใจออกอย่างเดียว ไม่ได้ใช่ไหม
โปรดอย่าดูแคลนงาน routine เลย