นานมาแล้ว เด็กชายบ้านนอกถิ่นทุรกันดานมากคนหนึ่งอายุราว
11 ขวบ ชื่อว่า “อู๊ด”ถูกส่งจากแดนกันดานไปเรียนหนังสือในเมืองนครสวรรค์ตามลำพัง
อาศัยอยู่กับญาติ เป็นบ้าน 3 หลังติดกันอยู่ในรั้วเดียวกัน มีเด็กชายรุ่นพี่อายุใกล้กันอาศัยอยู่ด้วย สมมติชื่อว่า “ไก่”
อู๊ดและไก่เล่นด้วยกันทุกวันจนสนิทสนมกันมาก
ด้วยความที่เป็นเด็ก ก็คึกคะนองตามประสา ตกค่ำวันหนึ่ง ไก่ชวนอู๊ดไปเล่นพิเรนทร์ คือ
“ใช้ก้อนหินปาใส่บ้านข้างๆ”
ไก่กับอู๊ดค่อยๆเดินไปที่รั้วบ้าน ท่ามกลางความมืดที่ห่อหุ้มบรรยากาศรอบๆทำให้อำพรางตัวเองอย่างดี ไก่คึกคะนอง
ขณะที่อู๊ดรู้สึกลังเล ไก่หยิบก้อนหินขนาดเหมาะมือแล้วปาใส่บ้านข้างๆอย่างไม่ลังเล เสียงดัง “ปั้ง” ขณะที่อู๊ดยืนมองด้วยใจระทึก
พลันทั้งคู่ก็วิ่งหลบขึ้นบ้าน ไก่ไวกว่าอู๊ดมาก ขณะที่เสียงข้างบ้านเอ่ะอะ
“เฮ้ย อะไรกันวะ”
วันต่อมาก็ทำเช่นนี้อีกด้วยความได้ใจ
สนุก คึกคะนอง สร้างความรำคาญใจให้บ้านข้างๆ โดยที่ทุกครั้งไก่เป็นผู้ปาอยู่คนเดียว
อู๊ดได้แต่ยืนมอง ด้วยความอึดอัด จำใจ เพราะไม่อยากเล่นแบบนี้ แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธไก่
จนคืนวันหนึ่ง ทั้งคู่หารู้ไม่ว่า
ขณะกำลังปาก้อนหินนั้น ได้ถูกซุ่มมองจากนอกรั้วบ้านโดยผู้ใหญ่ข้างบ้านหลายคน
พร้อมอาวุธมีดดาบครบมือ และแล้วท่ามกลางความมืดของคืนนั้น
“ปั้ง”
เสียงดังจากการปาก้อนหินดังขึ้น ทั้งคู่วิ่งขึ้นบ้านอย่างเร็ว
เสียงโวยวายจากบริเวณที่ผู้ใหญ่ซุ่มอยู่นั้นก็ลั่นขึ้นตามหลังมาทันที
“หยุดนะ มึง อย่าหนีนะเว้ย”
กลุ่มผู้ใหญ่พร้อมอาวุธที่ซุ่มอยู่นั้น เห็นด้านหลังของอู๊ดขณะวิ่ง
ก็กรูเข้ามาในบ้านของอู๊ดและไก่อย่างรวดเร็ว
เสียงเอ่ะอะตึงตัง และเข้าล้อมกรอบอู๊ดคนเดียว ขณะที่ไก่หลบอยู่ในบ้านอีกหลัง
อู๊ดถูกผลักอย่างแรง
“มึงปาบ้านกูทำไม มึงตาย”
เสียงตะคอกใส่อู๊ดดังลั่น
และกวัดแกว่งมีดดาบอย่างหวาดเสียว วินาทีนั้น อู๊ดยืนตัวสั่นเป็นลูกนก ใจสั่น
ด้วยความกลัวสุดชีวิต ใจอู๊ดคิดว่าวันนี้เราตายแน่
ปากก็พร่ำบอกด้วยเสียงสั่นเครือว่า
“ผมไม่ได้ปาครับๆๆๆ”
“ก็กูซุ่มดูอยู่ เห็นมึงวิ่งหนีมาทางนี้
มึงอย่าโกหกกู” กลุ่มผู้ใหญ่โกรธมาก
ในสภาพที่ถูกกดดันสุดๆเช่นนั้น อู๊ดไม่ยอมปริปากบอกว่าไก่เป็นคนปาก้อนหิน
ด้วยความรักเพื่อน ในใจอู๊ดคิดว่า หากบอกความจริงไปแล้ว จะทำให้ไก่เดือดร้อน อู๊ดจึงทนรับสภาพนั้นไปแต่ผู้เดียว
เด็กตัวเล็กๆยืนตัวสั่นร้องไห้น้ำตาไหลพราก
“ผมไม่ได้ปาๆๆๆๆ”
แต่กลุ่มผู้ใหญ่ไม่เชื่อ
ระหว่างนั้น ญาติผู้ใหญ่ของอู๊ดเข้ามาห้ามและขวางไหว
และเจรจาขอร้องจนเหตุการณ์ดีขึ้น
“พรุ่งนี้ให้มันไปสาบานที่วัด”
เสียงจากกลุ่มผู้ใหญ่ตะโกน
เช้าวันรุ่งขึ้น กลุ่มผู้ใหญ่ข้างบ้านมารับอู๊ดในชุดนักเรียน
ไปวัดเพื่อทำพิธีสาบานต่อหน้าพระพุทธ ซึ่งเป็นองค์พระประธานในโบสถ์ ใจคออู๊ดไม่สบายเลย
แม้ตัวเองรู้ว่าไม่ได้ปาบ้านเค้า ในใจรู้อยู่ว่าไก่เป็นผู้ปา
เป็นคำสาบานที่เด็กชายตัวเล็กๆต้องกล้ำกลืนรับคำ
โดยไม่เข้าใจอะไรมากมายนัก
จุดธูปเทียน กราบพระประธานในโบสถ์ แล้วกล่าวตามผู้ใหญ่ด้วยเสียงสั่นเครือว่า
“ถ้าข้าพเจ้าปาก้อนหินใส่บ้านท่าน ขอให้ข้าพเจ้ามีอันเป็นไปภายใน 3 วัน 7 วัน"
สิ้นคำสาบาน ผู้ใหญ่หันมาถามอู๊ดว่า
"แล้วเองจะว่าอย่างไร"
อู๊ดก็กล่าวขึ้นด้วยจิตที่แน่วแน่ว่า
"ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้ปาขอให้ท่านมีอันเป็นไปภายใน 3 วัน 7 วัน เช่นกัน”
"เออ" ผู้ใหญ่กล่าวด้วยแววตาโกรธกริ้ว
หลังสาบานเสร็จแล้ว อู๊ดก็ได้รับอนุญาตให้ไปเรียนตามปกติ
อู๊ดไม่ปริปากบอกใครที่โรงเรียนถึงเรื่องที่ตัวเองผจญวิบากกรรมแสนสาหัสเลย แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเองที่อยู่บ้านนอกห่างไกลออกไป อู๊ดก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง เข้านอนตอนกลางคืน น้ำตาอู๊ดไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เป็นแบบนี้อยู่หลายคืน
จนอู๊ดเรียนจบและเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ
จึงได้รู้ว่า
“คำสาบานนั้นศักดิ์สิทธิ์”
ทำให้อู๊ดหวนคิดทบทวนย้อนหลัง ใคร่ครวญถึง
เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น อะไรกันนี่ คำสาบานทำไมถึงมีความศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ อนิจจา
“เราน่าจะบอกเค้าไปเลยว่า ไก่เป็นคนปาก้อนหิน”นี่เป็นเรื่องที่ผมประสบมาจริงๆ เป็นเรื่องที่หลักการทางฟิสิกส์วิทยาศาสตร์อธิบายยากหรือยังไม่สามารถอธิบายได้ ขอให้ใช้หลักกาลามสูตรในการอ่านติดตาม
Related Links:
บันทึกการเดินทาง: โคราชถึงศิริราช
มหัศจรรย์จากงานกาชาด