(8,288 ครั้ง)
ปีที่แล้ว
ตอนต้นๆปี ผมไปทำพาสต์ปอร์ตที่ตึกกระทรวงวัฒนธรรม เยื้องกับเซ็นทรัลปิ่นเกล้า
ระหว่างรอ ก็เดินดูอะไรเพลินๆ ตามประสาคนไม่ชอบอยู่เฉยๆ พลันสายตาเหลือบไปเห็นบอร์ดๆหนึ่ง
เป็นบอร์ดที่อยู่ในบริเวณที่รอทำพาสต์ปอร์ตนั่นแหล่ะ ไฉนเอาเรื่องการด่ามาติดไว้
จะแนะนำวิธีการด่าหรืออย่างไร เมื่ออ่านไปซักสองสามบรรทัด เกิดติดใจตรงที่ชวนให้เราคิดบวกเมื่อถูกด่า
และมีวิธีคิดในแง่มุมที่น่าสนใจ เลยตั้งใจอ่านจนจบเรื่อง แล้วรีบบันทึกข้อความไว้ในหน่วยความจำทันที
คงไม่เกินความจริง
ถ้าผมจะบอกว่าไม่มีใครไม่เคยถูกด่าทั้งต่อหน้าและลับหลัง
และน่าจะป็นที่ยอมรับกันนะครับว่าการนินทาหรือด่าลับหลังมีมากกว่าการด่าต่อหน้า
ตรงนี้คงเป็นเพราะคนนินทาหรือคนด่าเป็นห่วงสวัสดิภาพของตัวเอง ด่าแรงบ้างเบาบ้างมีทุกรูปแบบขอให้ลับหลังก็แล้วกัน
อย่างตัวผมมีโอกาสพบผู้คนมาก คู่สนธนาคุยกันอยู่ดีๆก็วกไปด่าคนอื่นให้ผมฟัง
อันนี้บ่อยมาก ไม่เว้นแม้แต่คนที่ได้รับการศึกษามาสูงๆ จึงคิดว่า เรื่องคิดบวกเมื่อถูกด่าน่าจะมีประโยชน์บ้างกับทุกคน
ซึ่งบางคนอาจกำลังถูกด่าอยู่ตอนนี้ หรือไม่ก็ใกล้จะถูกด่าเข้าไปเต็มทีแล้ว
เริ่มอุ่นเครื่องกันเลยครับตามนี้
ตัวอย่างคิดบวกเมื่อถูกด่าด้วยถ้อยคำต่างๆ
เมื่อถูกด่าว่าควาย
ให้คิดว่า นั่นแหล่ะเขากำลังยกย่องว่าเราเป็นคนขยัน อดทน เพราะควายขยัน อดทน ไม่เคยเห็นควายแอบหลบงานไปนั่งเล่นเฟสบุ๊ค
แอบงีบ หรือไปจีบควายสาว ดังนั้น
หากใครเรียกเราว่า “ไอ้ควาย
หรือ อีควาย” จงยิ้มรับ
แล้วกล่าวคำว่า ขอบคุณครับ-ค่ะ ยุคนี้ถ้ามาด่าเราว่า "ไอ้คน" น่าจะเจ็บกว่า
เมื่อโดนด่าแล้วโดนไล่ให้ไปตาย
ก็คิดซะว่า โลกปัจจุบันน่าอยู่ที่ไหน อยู่ไปก็ไม่ปลอดภัย
ใครไล่ให้ไปตายแสดงว่าเขาห่วงใยในสวัสดิภาพของเราไม่อยากให้ผจญภัยในโลกที่น่าทุกข์ระทมนี้
เราจึงควรแสดงความห่วงใยเค้าบ้างเช่นกันว่า “ไม่เป็นไร
เชิญพี่ก่อนละกัน”
โดนด่าว่า
“ไอ้ห่า-อีห่า”
ก็ยิ้มไว้ เพราะสมัยก่อนใครเป็นโรคห่าคงตายแน่
สมัยนั้นคงต้องการให้คนถูกด่าเจอแต่เรื่องร้ายๆหรือตายไปเลย สมัยนี้โรคห่าเอาอยู่
รักษาได้ เป็นห่าได้ก็หายได้ คือเจอเรื่องแย่ๆก็ผ่านได้ คนด่าก็ด่าออกไปด้วยโมโหไม่ทันคิด
คิดอีกทีคนด่าอวยพรคนถูกด่านะนั่น เพราะ “ไอ้ห่า-อีห่า”
เท่ากับ “ขอให้ไอ้-อีผ่านเรื่องร้ายๆได้”
สมัยนี้ถ้าให้เจ็บจี๊ดต้องด่าด้วยคำว่า “ไอ้เอดส์-อีเอดส์”
“ไอ้ไข้หวัดนก-อีไข้หวัดนก”
แต่คำว่า “ห่า” อาจไปอยู่ที่ตรงอื่นๆที่มีความหมายต่างไป
เช่น “ทำดีแล้วโดนด่า
ไม่ทำห่าดันด่าคน”
ไม่ทำห่าในที่นี้น่าจะหมายถึงไม่ทำอะไรเลย ห่าในที่นี้เท่ากับจำนวนมากๆ
โดนด่าว่า
“บ้า”
เราทั้งหลายรู้กันว่าคนบ้ามักมีจินตนาการสูงส่งยิ่งกว่าคนธรรมดาหลายเท่า แถมยังอารมณ์ดี
หัวเราะได้ทั้งวัน เขาด่าว่าบ้า เป็นการชื่นชมในคความฉลาดหลักแหลมเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์
และเป็นคนมีอารมณ์ขันของเรา ทั้งหมดนี้แน่นอนว่าคนด่าย่อมทำไม่ได้อย่างเรา
โดนกล่าวถึงบิดามารดา
แสดงว่าเขาเคารพบิดามารดาของเราเหมือนบิดามารดาของเขาเอง จึงกล่าวเพื่อระลึกถึง
หรือไม่ก็เขากำลังระลึกถึงหรือคิดถึงบิดามารดาของเขา
เพราะท่านต่างตรอมใจตายไปหมดแล้ว เนื่องจากมีอภิชาตบุตรซาตานอย่างเขานั่นแหล่ะ
โดนแจกของลับ
แสดงถึงการให้ความเคารพรักอย่างสูงสุดของผู้ให้ที่มีต่อผู้รับ เขาจึงได้ให้ของสำคัญเท่าชีวิตแก่เรา
ดังนั้นใครแจกให้เรา ก็ขอบคุณเขาไป ไม่เป็นไรให้เขาเก็บเอาไว้ใช้เอง เพราะเราก็มีของเราอยู่แล้ว
โดนด่าว่า "อันธพาล" แสดงว่า เขาเอ็นดูเราว่าเป็น เด็กอมมือ เด็กโง่น่ารัก เอะอะโวยวายก็น่ารัก ไม่ประพฤติปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของผู้ใหญ่ สร้างความรำคาญตามประสาเด็กอมมือ ซึ่งจิตของเด็กอมมือไม่ปรุงแต่ง ใสบริสุทธิ์ ตรงไป ตรงมา ไม่ดัจริต ไม่มีจริตจะก้าน และคงไม่มีเด็กอมมือที่ไหนจะฉลาดเท่าคนด่าหรอก ผู้ใหญ่ที่มีปัญญาและยึดหลักปฏิบัติที่ถูกต้องจะเข้าใจ จึงไม่ควรไปโกรธคนที่ด่าเราว่าอันธพาล ควรมองเขาด้วยความเอ็นดู
โดนด่าว่า "อันธพาล" แสดงว่า เขาเอ็นดูเราว่าเป็น เด็กอมมือ เด็กโง่น่ารัก เอะอะโวยวายก็น่ารัก ไม่ประพฤติปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของผู้ใหญ่ สร้างความรำคาญตามประสาเด็กอมมือ ซึ่งจิตของเด็กอมมือไม่ปรุงแต่ง ใสบริสุทธิ์ ตรงไป ตรงมา ไม่ดัจริต ไม่มีจริตจะก้าน และคงไม่มีเด็กอมมือที่ไหนจะฉลาดเท่าคนด่าหรอก ผู้ใหญ่ที่มีปัญญาและยึดหลักปฏิบัติที่ถูกต้องจะเข้าใจ จึงไม่ควรไปโกรธคนที่ด่าเราว่าอันธพาล ควรมองเขาด้วยความเอ็นดู
นี่แหล่ะครับที่จำได้ อย่างไรก็ตาม
ใครด่าเราถ้าเราไม่รับคำด่านั้น คำด่านั้นก็เป็นของคนด่านั่นแหล่ะ แต่คนส่วนมากมักจะรับคำด่าทันทีที่ถูกด่า ก็เลยทุกข์และเครียดเพราะคำด่า คนที่ด่าเราเค้าสบายไปแล้ว แต่เราผู้ถูกด่ายังครุ่นคิดอยู่กับคำด่า
ฉันดีกับเธอขนาดนี้แล้ว ยังมาด่าฉันอีก
ฉันทำอะไรให้ มาด่าฉันเนี่ย
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นพี่เป็นเพื่อนกันมานาน ยังมาด่ากันได้
แน่มาจากไหน ถึงมาด่าฉัน
.....
.....
.....
ถ้าคิดแบบนี้ละก็ ทั้งเครียด ทั้งทุกข์
คำด่าก็เหมือนคนส่ง e-mail หรือจดหมายส่งทางไปรษณีย์ให้เรา ถ้าเราไม่เปิดอ่าน มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น ไม่มีผลกระทบจิตใจเรา
เสียงด่าว่า ก็เป็นเพียงแค่ลมจากปากของคน เป็นการสั่นสะเทือนของโมเลกุลอากาศ และถ่ายทอดโมเมนตัมมายังหูเรา หูของเราทำหน้าที่ Fourier Transform จนได้คลื่นเสียงฮาร์โมนิคมากมายส่งไปยังประสาททำให้ได้ยินเสียงนั้นและเราดันไปเข้าใจความหมายของมันเข้า จิตเราก็ไปปรุงแต่งซะก็สนุกกันใหญ่ สมมติเราไม่รู้ความหมายของเสียงนั้น เช่น เขาด่าเราเป็นภาษาสะวาฮีรี รับรองเรายังยืนยิ้มได้สบายใจเฉิบ จริงไหม โถ..เราโดนไต้ฝุ่นกระหน่ำยังไม่เป็นไรเลย
เมื่อเราเข้าใจความหมายของคำด่า เขาด่าเราแล้วเราด่าตอบ เช่น เขาด่าเราว่า "ไอ้ควาย" เราก็ด่าเขาตอบบ้าง "มึงน่ะซิ ควาย" คำด่าของเรา มันอาจสะใจเรามากตอนกำลังด่า แต่รู้หรือไม่ว้่า เรากำลังประจานตัวเอง
และก็ถึงเวลาเจ้าหน้าที่เรียกคิวพอดีเลย เดี๋ยวนี้ทำพาสต์ปอร์ตใช้เวลาไม่นาน
Related Links:
ขันติเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์
จำนวนผู้อ่านบทความนี้ 1,412 ครั้ง (28กพ2555-1พย2556)
ใครด่าเราถ้าเราไม่รับคำด่านั้น คำด่านั้นก็เป็นของคนด่านั่นแหล่ะ แต่คนส่วนมากมักจะรับคำด่าทันทีที่ถูกด่า ก็เลยทุกข์และเครียดเพราะคำด่า คนที่ด่าเราเค้าสบายไปแล้ว แต่เราผู้ถูกด่ายังครุ่นคิดอยู่กับคำด่า
ฉันดีกับเธอขนาดนี้แล้ว ยังมาด่าฉันอีก
ฉันทำอะไรให้ มาด่าฉันเนี่ย
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นพี่เป็นเพื่อนกันมานาน ยังมาด่ากันได้
แน่มาจากไหน ถึงมาด่าฉัน
.....
.....
.....
ถ้าคิดแบบนี้ละก็ ทั้งเครียด ทั้งทุกข์
คำด่าก็เหมือนคนส่ง e-mail หรือจดหมายส่งทางไปรษณีย์ให้เรา ถ้าเราไม่เปิดอ่าน มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น ไม่มีผลกระทบจิตใจเรา
เสียงด่าว่า ก็เป็นเพียงแค่ลมจากปากของคน เป็นการสั่นสะเทือนของโมเลกุลอากาศ และถ่ายทอดโมเมนตัมมายังหูเรา หูของเราทำหน้าที่ Fourier Transform จนได้คลื่นเสียงฮาร์โมนิคมากมายส่งไปยังประสาททำให้ได้ยินเสียงนั้นและเราดันไปเข้าใจความหมายของมันเข้า จิตเราก็ไปปรุงแต่งซะก็สนุกกันใหญ่ สมมติเราไม่รู้ความหมายของเสียงนั้น เช่น เขาด่าเราเป็นภาษาสะวาฮีรี รับรองเรายังยืนยิ้มได้สบายใจเฉิบ จริงไหม โถ..เราโดนไต้ฝุ่นกระหน่ำยังไม่เป็นไรเลย
เมื่อเราเข้าใจความหมายของคำด่า เขาด่าเราแล้วเราด่าตอบ เช่น เขาด่าเราว่า "ไอ้ควาย" เราก็ด่าเขาตอบบ้าง "มึงน่ะซิ ควาย" คำด่าของเรา มันอาจสะใจเรามากตอนกำลังด่า แต่รู้หรือไม่ว้่า เรากำลังประจานตัวเอง
และก็ถึงเวลาเจ้าหน้าที่เรียกคิวพอดีเลย เดี๋ยวนี้ทำพาสต์ปอร์ตใช้เวลาไม่นาน
Related Links:
ขันติเป็นเครื่องประดับของนักปราชญ์
จำนวนผู้อ่านบทความนี้ 1,412 ครั้ง (28กพ2555-1พย2556)